กิจกรรม

บันทึก Book Talk : หนังสือ เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ

วันที่จัดงาน
30 ส.ค. 2019
สถานที่จัดงาน
ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย


บันทึก BOOKTALK: หนังสือ เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ 

สรุปเนื้อหากิจกรรม BOOKTALK บรรยายโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์
31 สิงหาคม 2562 ณ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย

          สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอบคุณศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทยที่เชิญมาในวันนี้ ผมจะเล่าตัวโครงหลักเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ หลังจากนั้นจะให้ท่านถามหรือ discuss กัน

          เซเปียนส์ มีความน่าสนใจหลายเรื่อง มีความสนุกในการเล่าเรื่อง ต่อให้เล่าโครงแล้วเมื่อไปอ่านเองก็ยังสนุกเหมือนเดิม เพราะผู้เขียน Yuval Noah Harari เก่งมาก มีความสามารถในการเล่าเรื่องสูง มีเกร็ดประวัติศาสตร์มาก

          การอ่านหนังสือให้สนุกต้องรู้จักผู้เขียน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นคนยิวและเป็น Homosexual ในเซเปียนส์จะมี Part ใหญ่ ๆ ที่วิเคราะห์เรื่อง Sexism ความไม่เท่าเทียมทางเพศ เขาตั้งคำถามว่าทำไมผู้ชายถึงเป็นใหญ่ในสังคมมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่นำมาวิเคราะห์กันดู ผู้หญิงมีลักษณะที่น่าจะเป็นผู้นำ ทำให้สังคมมีความสุขได้มากกว่า จะไม่ลงในรายละเอียดซึ่งมีในหนังสือ

          ประเด็นเหล่านี้มาจากความเป็นตัวตนของ Yuval Noah Harari และมีอีก 2-3 ประเด็นที่ชัดมากว่าเป็นตัวตนของเขา เช่น พูดถึงอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ความที่เป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เรียกว่าเป็นมังสวิรัติเข้มข้นมาก มังสวิรัติไม่กินเนื้อแต่กินนม แต่ความรู้สึกเขา การได้เนื้อ นม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในระบบอุตสาหกรรมมันโหดร้ายทารุณกับสัตว์มาก บรรยายเห็นภาพในหนังสือ เมื่ออ่านจบแทบจะกลายเป็นมังสวิรัติตามไป

          จะเล่าโครงเรื่องสักเล็กน้อย จริง ๆ โครงของเรื่องบอกอยู่ที่ปกหน้าและปกหลังแล้ว ชื่อหนังสือ "เซเปียนส์ : ประวัติย่อมนุษยชาติ" ถ้าดูปกหลังจะบอกว่า หนังสือบอกเล่าเรื่องราวโลดโผนของประวัติศาสตร์ที่แสนวิเศษของพวกเราเอง ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นวานรที่ไม่สลักสำคัญใด ๆ จนกลายมาเป็นเจ้าผู้ครอบครองโลก และจะไล่ Factor ต่าง ๆ ลงมา

          Factor แรก กล่าวถึง ไฟ ที่ให้อำนาจ Factor ที่สองกล่าวถึง การนินทา ทำให้เกิดความร่วมมือกัน Factor ที่สามกล่าวถึง การเกษตรกรรม ทำให้ยิ่งหิวโหย ฟังแล้วขัด ๆ เกษตรกรรมทำไมทำให้ยิ่งหิวโหย หลายท่านที่เป็นนักอ่านจะรู้สึกว่าหนังสือส่วนมากจะบอกว่า การเกษตรกรรมทำให้มนุษย์มีอาหารอุดมสมบูรณ์ขึ้น แต่ Yuval Noah Harari บอกว่ายิ่งทำให้หิวโหย สักครู่จะอธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

          ตำนานและเรื่องเล่า ช่วยผดุงกฎหมายและระเบียบแบบแผน เขาจะเล่าว่าทำไมพวกกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ ในเชิงสังคม ศาสนาจึงมีความสำคัญขาดไม่ได้สำหรับมนุษย์

          เงินตรา คือสิ่งที่ทำให้เราเชื่อถือได้อย่างแท้จริง ในหนังสือจะมีคำคมเกี่ยวกับเงินอยู่มาก ผมเรียนสายวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เรียนสายการเงินจึงเป็นความใหม่สำหรับผม และรู้สึกชอบมาก เขาบอกว่า มีพระเจ้าองค์เดียวในโลกที่ทุกชาติทุกศาสนาเคารพนับถืออย่างจริงจังที่สุดคือ เงิน ซัดดัม ฮุสเซน หรืออัลกออิดะห์ หรือใครก็แล้วแต่ โจมตีสหรัฐฯ ทำร้ายข้าวของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เก็บเงินเพราะเอาไปใช้ได้ สมัยสงครามครูเสด เปอร์เซียรบเผาทำลายข้าวของทุกอย่าง ยกเว้นเงิน ความขัดแย้งทำให้เกิดวัฒนธรรม และสุดท้าย วิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์น่าสะพรึง มนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลก

          หนังสือมีความน่าสนใจ เปิดมาเริ่มไกลมาก เมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์มนุษย์ ปกติถ้าไม่คิดอะไรมักจะเริ่มจากบรรพบุรุษว่าเป็นคนแยกจากลิงตอนไหนอย่างไร แต่เล่มนี้เปิดที่กำเนิดจักรวาลย้อนกลับไปไกลมากให้เห็นจังหวะเวลาของจักรวาล เมื่อมาถึงมนุษย์เล่าให้เห็นมนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ปริศนาที่สำคัญมาก ๆ สำหรับมนุษย์ปัจจุบันที่อยากรู้คือ ในทางวิทยาศาสตร์คำว่า "Homo Sapiens" ที่เป็นชื่อสปีชีส์ (Species) Homo เป็นนามสกุลในทางวิทยาศาสตร์เขียนไว้ข้างหน้า ส่วนคำว่า Sapiens เป็นชื่อตัว แปลว่าฉลาด เป็นการคิดชื่อแบบอหังการมาก "เราเป็นมนุษย์ที่ฉลาด" Homo คือมนุษย์ Sapiens คือฉลาด

          ใน Homo ด้วยกัน ในสกุลหนึ่งมีพี่น้องอยู่มาก เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งพบมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีมากถึง 6 หรือ 7 Homo ด้วยกัน คำว่าพี่น้องคือสายเลือดใกล้ชิดกันมาก ๆ ถ้านำ Homo sapiens กับ Neanderthal (นีแอนเดอร์ทัล) สมัยก่อนมาวางให้ดูสามารถบอกได้ว่าใครเป็นใคร แต่ว่าแทบจะแยกไม่ออกว่าต่างกันตรงไหนในแง่ว่าเป็นมนุษย์หรือไม่ ดูด้วยสายตาบอกไม่ได้ แต่ที่น่าสนใจคือคำถามที่ใหญ่มากว่า ทำไมปัจจุบันจึงเหลือแค่ Homo Sapiens แล้ว Homo อื่นสูญพันธุ์ไปหมด สาเหตุใดทำให้สูญพันธุ์ Homo neanderthalensis (โฮโม นีแอนเดอร์ธาลเอนซิส), Homo erectus (โฮโม อีเรคตัส) และมี Hobbit Homo floresiensis เป็นมนุษย์ตัวเตี้ย ๆ ซึ่งเหมือนในเรื่อง Loard of the Ring เป็น Hobbit อยู่บนเกาะที่อินโดนีเซีย และเป็นเกาะที่มีทรัพยากรจำกัดคนเลยตัวเล็ก ช้างก็ตัวเล็ก เพิ่งค้นพบหลักฐานเมื่อไม่นาน

          จากบทแรก สัตว์ที่ไม่สำคัญคือมนุษย์ คำถามใหญ่คือเราเอาชนะคนอื่นได้อย่างไร คำตอบในเล่มไม่มี แต่ประเด็นสมมุติฐานหลักทางวิทยาศาสตร์คือ มันต้องมีการ Mutate ของ DNA, Gene หรือสารพันธุกรรมทำให้เรามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งแตกต่างออกไป คืออาจจะไป Mutate ที่สมอง หรือคอทำให้เราสื่อสารกันดีขึ้น หรือมากกว่านั้นอาจเป็นส่วนที่ทำให้เรามีความคิด จินตนาการมากขึ้น ถ้าให้สรุปด้วยคำ ๆ เดียวคือImagine Reality คือโลกเราอยู่ได้ด้วยความจริงแบบหนึ่ง เป็นความจริงที่จินตนาการขึ้น แต่ในความรู้สึกของมนุษย์สมัยใหม่จะเคยชินกับความจริงตัวนี้ และแยกไม่ออกว่าเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้น ตัวอย่างเช่น เราชินกับธนบัตรในกระเป๋าเงิน เราน่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ธนบัตร รุ่นต่อไปอาจมีแค่ตัวเลขวิ่งไปวิ่งมา มีแค่ Card หรือมี Chip ฝังอยู่ในมือเหมือนบางประเทศในแถบยุโรปลองทำอยู่ ไม่ต้องกลัวกระเป๋าเงินหาย ไปไหนก็เอามือทาบเพื่อเป็นการจ่ายเงิน แต่อาจต้องระวังถูกตัดมือไปใช้

          กลับมาที่ประเด็นไม่มีคำตอบว่า เราต่างกับ Homo ด้วยกันอย่างไร และ Homo ทั้งหลายพี่น้องเราสูญพันธุ์ไปอย่างไร มี Part หนึ่งตั้งชื่อว่า โครงกระดูกในตู้ ท่านใดเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ครับ เป็นสำนวนฝรั่ง โครงกระดูกในตู้แปลว่าเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวที่น่าอับอายไม่ควรเอามาบอกกล่าว จากหลักฐานที่มีอยู่คือ พี่น้องเราที่หายไปทั้งหมดเพราะต้นตระกูล Homo Sapiens ฆ่า เป็นหลักฐานที่เป็นไปได้สูงที่สุด แต่ไม่ได้เป็นเพราะเราโหดร้ายอย่างเดียว อาจมีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น อากาศที่หนาวเย็น หรือ 2 Species มาอยู่ใกล้กัน เห็นต่างกัน คนละพวก การกระทบกระทั่ง การขยายแผ่นดิน แต่ในที่สุดก็ตามกันไปจนตายหมดในที่สุดซึ่งเป็นประเด็นหนึ่ง ไล่มาเรื่อย ๆ บทที่ 2 ต้นไม้แห่งความรู้ บทที่ 3 วันหนึ่งในชีวิตของอดัมและอีฟ พูดถึงชีวิตในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก่อนที่จะมีบันทึก มนุษย์สมัยก่อนเป็นพรานป่าล่าสัตว์ เก็บของป่า ถามว่าชีวิตแบบนี้ดีหรือไม่ ในมุมหนึ่งก็ดี แต่อีกมุมหนึ่งไม่ดี

          ในมุมที่ดีคืออยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไม่พบโรคภัยร้ายแรง เพราะกลุ่มเล็กถ้าพบโรคร้ายแรงก็จะเสียชีวิตในกลุ่มเล็ก 10-20 คนก็จบ แต่ว่าโรคร้ายแรงมาเกิดตอนที่อยู่เป็นหมื่นหรือแสนคน นี่คือโชคที่ไม่เกิดแบบนี้ เพราะถ้าตายก็จะตายหมด แต่ว่าโชคร้ายก็มี เช่น สมมุติว่าผู้ชายในกลุ่มนี้ไปฉุดผู้หญิงกลุ่มอื่นมา คืนหนึ่งถ้าพวกนั้นยกพวกมาจะถูกทำร้ายตายหมดทั้งเผ่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือเด็ก เป็นความเสี่ยงของคนในยุคนั้น อาหารก็เสี่ยงไปหาเอาข้างหน้า อยู่จนบริเวณนั้นไม่มีอะไรกินจึงขยับออกไปหาที่ใหม่เรื่อย ๆ ไม่มีหลักแหล่ง เป็นชีวิตของคนสมัยก่อนเกษตรกรรม เกษตรกรรมเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ มนุษย์อยู่รวมกันความต้องการอาหารก็มีมากขึ้น เป็นข้อสันนิษฐานเนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดว่าอะไรทำให้เกิดการลงหลักปักฐาน แต่ว่ามีปัจจัยหลาย ๆ อย่าง คือ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากขึ้นก็ต้องกินมากขึ้น การเก็บของป่าไม่พอสำหรับกลุ่มคนจำนวนมาก แต่สำหรับ 10-20 คน การย้ายไปเรื่อย ๆ ไม่มีปัญหา แต่การอยู่รวมกันเป็น 1,000 คน, 10,000 คน หรือ 100,000 คน เป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีการจัดตั้ง การทำเกษตรเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อให้ได้ผลผลิตมาก แต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าการเกษตรของโลกจริง ๆ เกิดขึ้นที่ไหน สมัยก่อนมักชี้ว่าเกิดที่บริเวณเอเชียกลางแถวเสี้ยววงเดือน แถบอิรักซึ่งเป็นอู่อารยะธรรมเก่าสุด คนเริ่มรู้จักการคัดเลือกพันธุ์ คือไปพบอะไรที่กินได้ในป่าจะเริ่มนำมาคัดและปลูก ซึ่งทำให้ไฟเข้ามามีส่วน

          การรู้จักไฟทำให้มนุษย์มีอำนาจมาก เดิมเราไม่มีเขี้ยวไม่มีเล็บไม่มีอะไรที่ทรงประสิทธิภาพเหมือนสัตว์ทั่วไป วิ่งก็ไม่ได้เร็วที่สุด ปีนก็ไม่ได้เก่งที่สุด แต่พอมีไฟเปลี่ยนชีวิตบรรพบุรุษของเรามาก  เพราะสามารถใช้ไฟล่าสัตว์ได้ เผาอาหารพวกพืชหลายอย่างทำให้พืชดิบเหล่านั้นกินได้ มนุษย์รู้จักการก่อไฟ รู้จักเก็บไฟไปเรื่อย ๆ เพื่อนำไปใช้ต่อในอนาคต เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งแรก และเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดการเกษตรกรรมด้วย

          พอมีเกษตรกรรมขึ้นและมีการอยู่เป็นเมืองขึ้น มีข้อดีและข้อเสียคือ เดิมมนุษย์อยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่และมีประสิทธิภาพไม่ได้ เช่น อยู่ทุกปีน้ำท่วมทุกปีทำอะไรไม่ได้ ค้นพบว่ามีหลักฐานในสมัยอียิปต์ประมาณ 4 - 5 พันปีก่อน เริ่มมีการขุดคลองเปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำทำให้เกิดทะเลสาบที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะมีการจัดตั้งกันอย่างเป็นระบบ มีฟาโรห์ที่มีอำนาจ และฟาโรห์เกณฑ์ทาสและชาวบ้านมาได้ ซึ่งทาสและชาวบ้านก็เชื่อฟัง เหล่านี้มีองค์ประกอบข้างเคียงหลาย ๆ อย่าง มีความเชื่อว่าฟาโรห์คือพระเจ้าที่ลงมาเกิด ถ้าไม่เชื่อแบบนี้ชาวบ้านก็ไม่สวามิภักดิ์และไม่ยอมทำตาม เพราะไม่ง่ายและไม่สนุกที่ขุดดินกลางแดดร้อน ๆ แต่ด้วยความเชื่อทำให้ชาวบ้านทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อได้ ขุดแม่น้ำเส้นใหม่เปลี่ยนเส้นทางเดินของน้ำระยะทางเป็นสิบ ๆ กิโลเมตร เป็นต้น และเริ่มมีปัจจัยอย่างอื่นที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับเกษตรกรรม เดิมความเชื่อของมนุษย์อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมาก เวลากล่าวถึงคนป่าก็จะมีมุมมองต่อโลกแบบหนึ่ง คือทุกอย่างมีความเท่าเทียมกันค่อนข้างมาก คนป่ากับสัตว์มีความเท่าเทียมกัน

          ถัดมาจากยุคนั้นเริ่มมีแนวคิดว่าธรรมชาติคือผู้ยิ่งใหญ่ เริ่มมีเทพเจ้า เช่น หุบเขาก็มีเทพเจ้าประจำ หิน, ต้นไม้ก็มีเทพเจ้า ก็เกิดเป็นเทพเจ้าแบบหลากหลายจำนวนมาก ถัดมาอีกเกิดเทพเจ้าองค์เดียวและยิ่งใหญ่ที่สุดเป็น THE GOD ที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุด และองค์อื่นรองลงไปหรือแม้แต่ไม่มีจริงเป็นเรื่องหลอกลวง เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้ เพราะคนเริ่มคิดอะไรที่เป็นนามธรรม มีคำพูดหนึ่งที่ชอบมากคือ "เราสามารถบอกมนุษย์ว่าให้ทำอย่างนี้เพราะจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่เราไม่สามารถบอกให้ลิงสักตัวไม่กินกล้วยหนึ่งลูก และบอกว่าเมื่อตายจะได้กล้วยทั้งหวี ไม่ใช่แค่ลูกเดียว" ลิงไม่เชื่อเพราะคิดนามธรรมแบบมนุษย์ไม่ได้ว่า อดกล้วยหนึ่งลูกเพื่อกินกล้วยทั้งหวีในชาติหน้า ฉะนั้นความคิดแบบนามธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ตัวอย่างนี้เข้าใจง่ายกล้วยในชาติหน้า แต่บางอย่างใกล้ตัวซึ่งเราอาจจะนึกไม่ถึงเลย เปิดมาในบทแรก ๆ กล่าวถึงบริษัทรถยนต์เปอร์โยต์ (Peugeot) ใช้สัญลักษณ์สิงโต กล่าวถึงรูปปั้นตัวสิงโตสตาเดลเป็นสิ่งที่เก่าแก่มาก หัวเป็นสิงโตตัวเป็นคน ท่านใดเคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ศีรษะเป็นสิงโตตัวเป็นคน ไม่มีใครเคยเห็นเชื่อได้ว่าไม่มี ฉะนั้นเป็นเรื่องของจินตนาการของคนยุคก่อน ที่สามารถสลักสิงโตสตาเดลขึ้นมาได้ คำถามคือบริษัทเปอร์โยต์มีจริงหรือไม่ ซื้อของจากบริษัทฯ ได้หรือไม่ บริษัทฯ มีจริงและถูกกฎหมายด้วย และเราสามารถฟ้องบริษัทฯ ได้ด้วย บริษัทฯ ฟ้องเราได้ บริษัทฯ เป็นนิติบุคคล ขึ้นศาลได้ แต่ถามว่าความเป็นตัวตนของเปอร์โยต์เป็นเรื่องจินตนาการล้วน ๆ และทุกคนเชื่อในจินตนาการนี้ ผมเชื่อว่าถ้าเป็นทีมฟุตบอลจะเห็นชัดขึ้น ทีมแมนยูฯ สมาชิก 10 ปี, 20 ปีที่แล้วไม่ซ้ำกันเลย เป็นแมนยูฯ ที่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ก็เหมือนกับเปอโยต์ ถ้าวันนี้ผู้บริหารลาออกทั้งชุดมีผู้บริหารใหม่เข้ามาก็ยังเป็นเปอโยต์ เอาพนักงานออกทั้งหมดและรับเข้ามาใหม่ก็ยังเป็นเปอโยต์ ความเป็นเปอโยต์อยู่ตรงไหน เริ่มยากเพราะเป็นเรื่องนามธรรม

          ตามที่เกริ่นเรื่องเงิน ในหนังสือ Homo Deus ได้ยกตัวอย่างกรณีของพม่า เงินเป็นเรื่องสมมุติ แต่ทุกคนยอมตายเพื่อเงินได้ ไม่ใช่ทุกคนแต่มีคนจำนวนมากที่ยอมตายเพื่อให้ได้เงิน บางครั้งไม่กี่บาทก็ฆ่ากันได้ แต่เงินอาจไร้ค่าขึ้นมาแบบไม่น่าเชื่อทันที ขอยกตัวอย่างกรณีพม่า มีอยู่วันหนึ่งรัฐบาลประกาศว่าเงินที่มีอยู่ตอนนี้ ธนบัตรยี่สิบ ห้าสิบ ร้อย ให้ถือว่าใช้ไม่ได้ทั้งหมด อยู่  ๆ ตื่นมาธนบัตรทุกใบที่มีอยู่ในกระเป๋า ในเซฟ กลายเป็นกระดาษเปล่าใช้ไม่ได้ และประกาศใช้ธนบัตรใหม่ ซึ่งเป็นตัวเลขประหลาด ๆ และอธิบายแถมท้ายว่าเป็นเพราะเผด็จการในยุคนั้นเชื่อหมอดู เพราะตัวเลขตรงอายุ ถ้าออกธนบัตรนี้จะมีอำนาจได้ครองประเทศต่อไปนาน ๆ ให้ยกเลิกธนบัตรเก่า นึกภาพไม่ออกเลยถ้าพรุ่งนี้ประเทศไทยประกาศว่าธนบัตรทุกใบที่ใช้อยู่ถือว่าไม่มีค่าอีกต่อไป ไม่มีช่วงเวลาให้เปลี่ยน เป็นการทำลายจินตนาการซึ่งผูกพันกับความจริงในชีวิตที่แรงมาก ที่เงินในมือหลักล้าน กลายเป็นสิ่งไม่มีค่า

          นอกจากการบริหารจัดการเป็นลำดับขั้นแบบฟาโรห์ สิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองเป็นเมืองคือความรู้ทางคณิตศาสตร์ด้วย เพราะมีคำหนึ่งคือ พระราชาคือใครกันแน่ Yuval Noah Harari กล่าวว่าพระราชาคือเจ้าพ่อของเจ้าพ่อ พระราชาทำอะไร สมัยโบราณพระราชาดูแลให้ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข ไม่ถูกปล้น หรือถูกทำร้าย และสิ่งที่พระราชาต้องการจากประชาชนคือภาษี ในประวัติศาสตร์ทุกครั้งที่เกิดการประท้วงหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดจากการขึ้นภาษี โดยเฉพาะการปฏิวัติฝรั่งเศส หรือจีน กลับมาพระราชาคือเจ้าพ่อของเจ้าพ่อ เจ้าพ่อใหญ่สั่งไม่ให้ใครทำร้ายใครได้ และสั่งให้จำคุก หรือแขวนคอใครก็ได้ จะให้เงินใครก็ได้ Function  แบบนี้มีหลายองค์ประกอบ ระบบราชการที่ไม่ดี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดจักรวรรดิขึ้น พระราชาที่ใหญ่สุดจะเป็นจักรพรรดิสั่ง และมีลำดับขั้นถัดลงมาสั่งไปจนถึงหมู่บ้านเรียกเก็บภาษี ประเด็นคือสมัยก่อนการนับหลักหน่วย สิบ ร้อย เมื่อเริ่มมีมากขึ้นทำให้สับสน จึงเกิดการเขียน จดบันทึก การนับ การนับในสมัยโบราณมีหลักฐานย้อนตั้งแต่สมัยตัวเลขจนถึงไม่ใช่ตัวเลข มหัศจรรย์มากมีการบันทึกตัวเลขด้วยการผูกปมเชือก ปัจจุบันไม่ทราบว่าผูกและคำนวณกันอย่างไร แต่มีหลักฐานว่าคนที่ไปเก็บภาษีบันทึกว่าบ้านใดจ่ายเท่าไรด้วยการผูกปมเชือก ซึ่งเป็นการเขียนที่โบราณที่สุดแบบหนึ่ง การเขียนยุคแรกสุดเป็นการบันทึกทางบัญชี ประวัติศาสตร์เดินหน้าไป เกษตรกรรมและเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง มีข้าวของเหลือใช้ แต่ไม่เพียงพอ เมื่อต้องการเป็นเจ้าโลกก็เกิดสงคราม จากเมืองหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นหลายเมืองจนเป็นจักรวรรดิ

          เงินตรามีพัฒนาการขึ้น เงินสมัยโบราณเริ่มจากสิ่งมีค่าในตัวเอง เริ่มแรกนำข้าวไรย์แลกข้าวบาร์เลย์ เป็นการแลกเปลี่ยนของต่อของ (Barter System) หลังจากนั้นระบบก็เปลี่ยนไป ความไม่สะดวกของสิ่งของที่นำมาแลกกันเพราะเก็บได้ไม่นาน มีการนำหอยมีค่าและหายากมาแทน สุดท้ายมาจบลงที่เหรียญและธนบัตร ทำให้เกิดการค้าขายและเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน ในบทที่ 8 ประวัติศาสตร์ไร้ซึ่งความยุติธรรม ประวัติศาสตร์ของคนทั่วไปมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ของผู้มีอำนาจกล่าวถึงวีรกรรมของตนเองและบรรพบุรุษ จะมีพาดพิงประเด็นย่อยเรื่องทาส การเหยียดเพศ ตามที่ได้เกริ่นไว้  มีหลายเหตุผลมากที่ผู้หญิงจะเป็นผู้บริหารได้ดีกว่าผู้ชาย แล้วทำไมผู้ชายถึงเป็นผู้ครองโลกได้ มีมุมมองที่น่าสนใจคือถ้าเคยดูภาพยนตร์ The Godfather เจ้าพ่อใน Godfather เป็นคนแก่ที่ไม่แข็งแรง ฉลาดที่สุดหรือไม่ และอะไรที่ทำให้เป็นเจ้าพ่อ ต้องมีอะไรที่มากกว่าความแข็งแรง และทำไมต้องเป็นผู้ชายคือคำถามต่อมาอีก ต่อไปเป็นเรื่องของจักรวรรดิเป็น Timeline ของประวัติศาสตร์ มีสงครามและความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิ ซึ่งขึ้นกับจินตนาการ วนกลับมาที่ประเด็นของ Imagine Reality และเป็น Imagine หลายอย่าง มี Imagine Community, Imagine Order เป็นความมีระเบียบแบบแผนตามจินตนาการ ศาสนามีขึ้นเพื่อให้เกิดสิ่งนี้ด้วย เช่น มนุษย์เมื่ออยู่เป็นเมืองใหม่พบหลักฐานว่า โครงสร้างแปลก ๆ เคยได้ยิน Stonehenge นำก้อนหินหนัก 5, 10, 20 ตัน มาวางกองเป็นวงกลม บางก้อนยกขึ้นไปซ้อนอีกก้อน ซึ่งมีเก่ากว่านี้อีกและไปดูช่วงเวลาที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับช่วงเริ่มเกิดเกษตรกรรม และการจะทำอย่างนี้ได้ในขณะที่คนยังอยู่เป็นกลุ่มอย่างมากที่สุด 100 - 200 คน การยกหินขึ้นไปต้องการกำลังคนที่มากกว่านั้นมาก วิธีการไม่ได้ยากอะไรมาก ตั้งเนินดินเป็นอะไรที่ทำได้ไม่ต้องใช้ล้อ แต่ประเด็นคือต้องใช้คนจำนวนมากหรืออาจมีแรงสัตว์ช่วย คำถามคือคนในยุคนั้นเหนื่อยยากทำสิ่งเหล่านี้ทำไม คำตอบที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งคือ คนเริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง และเชื่อว่า Stonehenge น่าจะเป็นหลักฐานของการบูชาเทพเจ้าหรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

          บทที่ 12 กล่าวถึงเรื่องศาสนา การตีความศาสนามีความน่าสนใจ ขอปล่อยคำถามให้คิด ฟาสซิสต์ (Fascism) ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ เป็นศาสนาหรือไม่ เพราะอะไร ในมุมมองของ Yuval Noah Harari ศาสนาแล้วแต่จะจำแนก บางคนไม่คิดว่าคอมมิวนิสต์ใกล้เคียงกับศาสนาแม้แต่น้อย ถ้านำศาสนาทุกศาสนามาวางรวมกันจะมีไม่ครบ 4 - 5 อย่างที่กล่าวถึง แต่สิ่งที่ศาสนาต้องมีขาดไม่ได้คือหลักธรรมในศาสนา ขอยกตัวอย่าง คัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง บ้างว่าเป็นปรัชญา บ้างว่าเป็นศาสนา ในศาสนาต้องมีศาสดามีตัวตนจริง เล่าจื้ออายุ 500 ปีก่อนออกนอกด่าน ต้องแข็งแรงมาก เพราะก่อนออกนอกด่านเขียนตำราเต๋าเต็กเก็งไว้ หลักธรรมมีเล่มเดียวคือเต๋าเต็กเก็ง ซึ่งไม่บังคับให้ใครทำอะไร อ่านคัมภีร์ถ้าเข้าใจเต๋า เข้าใจโลก เข้าใจธรรมชาติ ก็เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ถ้าเป็นฮินดูคือเข้าถึงปรมาตมัน ถ้าเป็นศาสนาอื่นอาจจะมีโอกาสเข้าไปรับใช้พระเจ้า ฉะนั้นหลักความเชื่อใหญ่ ๆ อยู่ที่ Shape Up ที่ทำให้โลกเป็นรูปเป็นร่าง ถือว่าเป็นศาสนาในรูปแบบใดแบบหนึ่ง บางอย่างไม่ใช่ศาสนาแต่มีวิถีที่เกี่ยวข้องกันไม่ต่างกับศาสนา เช่น ความเป็นชาติ อย่างไรถึงเรียกว่าคนไทย เกิดเมืองไทยเป็นคนไทย แค่นี้พอหรือไม่ คนชาติอื่นเกิดที่เมืองไทยเป็นคนไทยโดยอัตโนมัติตามกฎหมาย แต่ว่ามีความเป็นไทยหรือไม่ เกิดไม่กี่วันก็เดินทางไปที่อื่น แล้วตกลงเป็นคนไทยต้องอย่างไร ผมไปอยู่ญี่ปุ่นไม่มีใครคิดว่าเป็นคนไทยสักคน โดนทักเป็นจีน เกาหลี ก็ไม่ใช่ Pattern Standard ของคนไทยในมุมมองคนญี่ปุ่น ในเรื่องหลักธรรม ศาสนาหนังสือเขียนไว้ดีมาก

          กล่าวไล่มาจาก สังคมเกษตรกรรม และเกิดจักรวรรดิ ธรรมชาติของจักรวรรดิมีความต้องการที่จะขยายอาณาเขต ประจวบเหมาะกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จึงได้กล่าวถึงวิทยาศาสตร์ซึ่งมีมุมที่น่าสนใจมาก เวลากล่าวถึงวิทยาศาสตร์และพ่วงเทคโนโลยี ผมอยู่สายวิทยาศาสตร์สามารถ Clarify ได้ชัดเจน เพราะกล่าวถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติได้ว่ามาจากการทดลอง ศึกษา ปฏิบัติและได้ข้อสรุปเพื่อเข้าถึงธรรมชาติ และมีเทคโนโลยีซึ่งเป็นผลพลอยได้และนำมาใช้ประโยชน์ ในหนังสือกล่าวถึงการเจริญเติบโตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมาพร้อมกับการขยายตัวของจักรวรรดิ เช่น ยุโรปซึ่งมีทรัพยากรจำกัด เมื่อมีประชากรมากขึ้น ทำอย่างไรที่จะทำให้ทรัพยากรที่จำเป็นและไม่จำเป็นเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างอังกฤษในสมัยก่อนน้ำตาลแพงมาก เพราะปลูกอ้อยไม่ได้ ฉะนั้นคนที่จะได้กินน้ำตาลต้องเป็นคนรวยเท่านั้น แต่ปัจจุบันน้ำตาลใครก็กินได้ สาเหตุเพราะการขยายตัวของจักรวรรดิไปยึดดินแดน และกำหนดว่าส่วนใดให้ปลูกน้ำตาล ส่วนใดให้ปลูกชา เป็น Custom เป็นธรรมเนียมใหม่ของจักรวรรดิของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษไม่ได้มีจักรวรรดิเดียว จะพบว่าประวัติศาสตร์ไทยที่เข้ามาแรกสุดไม่ใช่อังกฤษ แต่อังกฤษมาทีหลัง ก่อนอังกฤษคือ โปรตุเกส สเปน และพยายามที่จะทำการเมืองให้วุ่นวาย

          มุมที่น่าสนใจของวิทยาศาสตร์ก็คือ เมื่อกล่าวถึงวิทยาศาสตร์มักจะกล่าวถึงภาคของความรู้ ความยิ่งใหญ่ ความสำเร็จ วิทยาศาสตร์คือการยอมรับความไม่รู้ ยกตัวอย่างนำภาพแผนที่โลก 2 ภาพ ภาพที่หนึ่งเป็นแผนที่โลกยุโรป ก่อนที่ชาวยุโรปจะออกเรือไปยึดดินแดนทั่วโลก แผนที่โลกเป็นวงกลมเพราะโลกกลม มีเมืองต่าง ๆ ของยุโรปอัดแน่นมีขอบติดด้านเอเชียเล็กน้อย ในความคิดของชาวยุโรปโลกมีอยู่แค่นี้ เมื่อนำแผนที่สองออกมา ซึ่งทำขึ้นหลังแผ่นแรกไม่กี่สิบปีแผ่นที่สองมีพื้นที่ว่างมาก เพราะว่าทำขึ้นหลังจากชาวยุโรปมีการออกเรือ และพบดินแดนใหม่ เช่น อเมริกา ทวีปทั้งทวีปไม่รู้จักได้อย่างไร

          วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ดี เพราะมันรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ประเด็นนี้น่าสนใจมาก ปกติวิทยาศาสตร์จะมีภาพว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ทำลายความเชื่อด้วยความจริง โดยเฉพาะความเชื่อทางศาสนา เป็นภาพพจน์ จริงหรือไม่จริงเป็นอีกเรื่อง แต่วิทยาศาสตร์จริง ๆ แล้วรู้น้อยมาก แล้วค่อย ๆ รู้มากขึ้น มีประโยคหนึ่งกล่าวถึงไบเบิล (Bible) ที่น่าสนใจคือ "คนในยุคกลางเชื่อว่าเรื่องสำคัญสำหรับมนุษยชาติทุกอย่างมีเขียนบอกในไบเบิลแล้ว" ถ้าเรื่องไหนไม่มีในไบเบิลหมายความว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ คนในยุคนั้นไม่ต้องการรู้ว่าทำไมแมงมุมถึงชักใยแบบนั้นได้ ใยมีความสำคัญ มีองค์ประกอบอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ที่วิทยาศาสตร์ถามและอยากจะรู้ แต่คนในยุคกลางไม่สนใจ ไม่อยากรู้ สิ่งที่รู้ รู้เพื่อเข้าถึงพระเจ้า จุดมุ่งหมายในชีวิตชัดมากเพื่อไปรับใช้และอยู่กับพระเจ้า

          วิทยาศาสตร์ทำให้จักรวรรดิประสบความสำเร็จมาก ไปยึดดินแดน ลองนึกภาพเรือ 1 หรือ 2 ลำมาปิดปากอ่าว ระดมยิงปืนใหญ่สามารถยึดได้ แต่คำถามที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ดินปืนไม่ได้ค้นพบโดยคนยุโรป แต่ค้นพบโดยพวกนักพรตลัทธิเต๋าของจีน นักพรตพยายามจะหาอะไรที่เป็นยาอายุวัฒนะที่กินแล้วอายุยืน ค้นไปค้นมาได้ดินปืนสมัยก่อนจีนใช้ดินปืนทำพลุ ก่อนที่ยุโรปจะนำมาทำดินระเบิด ประวัติศาสตร์ shape ด้วยหลาย ๆ อย่างซึ่งบางอย่างเป็นเรื่องของ Mindset จังหวะเวลา ความบังเอิญ จีนค้นพบดินปืนก่อนแต่กลับไม่เอาดินปืนมาทำดินระเบิดกลับนำไปยิงพลุสวย ๆ แล้วจบแค่นั้น

          โคลัมบัสมีเรืออยู่ลำหนึ่งลำนิดเดียว และเรือของเจิ้งเหอที่ใหญ่มาก โคลัมบัสไปลำเดียวหาทุนยากมากกว่าจะได้ทุนมา มีการเล่าเรื่องการไปขอทุนของโคลัมบัสซึ่งทุนนี้เป็นการจับมือกับจักรวรรดิ เพราะต้องการขยายจักรวรรดิ ขอกล่าวถึงเจิ้งเหอสักเล็กน้อย เจิ้งเหอไปไกลมากจากจีนผ่านไปถึงแอฟริกาในหนังสือไม่กล่าวถึง แต่ผมอ่านพบ และได้นำยีราฟจากแอฟริกาไปถวายจักรพรรดิ และรูปวาดมังกรหลังยุคเจิ้งเหอจะมีเขาแบบยีราฟทุกตัว มังกรก่อนหน้านั้นจะมีเขาอีกแบบ เขาของมังกรคือเขาของยีราฟที่นำกลับมาถวายจักรพรรดิ คำถามคือเจิ้งเหอไปถึงทุกที่ไปเป็นกองเรือร้อยลำ พันลำ ใหญ่มากเหมือนกองทัพ เมื่อขึ้นบกก็นำบรรณาการไปแลกกันและกลับประเทศ ต่างจากชาวยุโรปที่เล่าถึงสเปนกองกิสตาดอร์ (Conquistador) ขึ้นแผ่นดินกระโดดและกล่าวว่า "แผ่นดินนี้เป็นของกษัตริย์สเปน" เพิ่งขึ้นมาก็ประกาศว่าเป็นของกษัตริย์สเปน

          Mindset จังหวะเวลา ความบังเอิญอ่านในรอบแรกรู้สึกว่าหลายสิ่งเป็น Trend ถ้าเราทำตัวเป็นพระเจ้ากลาย ๆ มองเห็นผ่านเวลาอย่างรวดเร็วจะเห็นว่า Trend ก็มีแนวโน้มแบบนี้ ประชาชนเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากเมืองเดียวเป็นหลายเมืองเป็นจักรวรรดิและจักรวรรดิขยายตัว ซึ่งเห็นชัดมาก สุดท้ายก็ต้อง Globalization เป็นโลกเดียวไม่มีอะไรมาขวางกั้น แต่ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้น ก็มีอะไรมาขวางตลอด อย่างขณะนี้ Globalization ก็ถูก Brexit พยายามขวางอยู่ ในขณะที่ Brexit ก็ไม่ค่อยสำเร็จ วิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วน นายทุนจะกล่าวถึงมุมมองของทุนนิยม ซึ่งจริงหรือไม่ผมไม่ทราบ เพราะไม่ใช่สายเศรษฐศาสตร์ ได้กล่าวว่าก่อนเกิดยุคทุนนิยมแนวคิดของคนทั่วไป เศรษฐศาสตร์ Fix อยู่กับตัวมาก มีก้อน Cake อยู่เท่านี้ก็เป็นอย่างนี้ตลอด แต่พอทุนนิยมเริ่มได้รับความนิยม Cake ขยายขนาดขึ้นไปเรื่อย ๆ มนุษย์สามารถรวยได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เพราะว่าการขยายดินแดนสามารถมีประชากร มีทรัพยากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากทุนนิยมขยับมาเป็นระบบปฏิวัติอุตสาหกรรม ความเป็นอยู่ก็เปลี่ยนจากคนป่า พรานป่าหาของล่าสัตว์ กลายมาเป็นสังคมเกษตรกรรม และชีวิตเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็นอุตสาหกรรม ขณะนี้มนุษย์เริ่มกลัวเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมเป็นหลังอุตสาหกรรม ที่จะทำให้มีคนตกงานมากมาย เพราะเครื่องจักรทำงานหลาย ๆ อย่างได้ดีกว่ามนุษย์ มีตัวเลขทำนายว่าไม่เกิน 10 - 20 ปี ตำแหน่งงานจะหายไปประมาณมากกว่า 500 ล้านตำแหน่ง ถามว่าหายไปจริง ๆ หรือไม่ ผู้ทำงานในตำแหน่งกล่าวว่าไม่หาย ตำแหน่งงานเดิมจะไม่มี แต่จะมีตำแหน่งงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาแทน ความน่ากลัวอยู่ที่ พวกที่เติบโตมาในโลกเก่าก่อนที่จะมีตำแหน่งงานใหม่จะไม่สามารถทำงานเหล่านั้นได้ เช่น ออกแบบคำสั่งควบคุมโดรน (Drone) กล่าวได้ว่าเกษตรกรรม อุตสาหกรรมยังไม่โหดร้ายเท่าตัวอย่าง ในวันหนึ่งคุณทำอาชีพและบริษัทไล่ออกตกงาน คุณสามารถเปลี่ยนไปเป็นอีกอาชีพที่อาศัยการ Training ในระยะเวลาหนึ่งเดือนหรือสองเดือนได้ สมมติเป็น รปภ. มาทั้งชีวิตโดนไล่ออกไม่มีงานทำ อาจจะเปลี่ยนไปเป็นพนักงาน Counter ไปเรียนรู้ใหม่แต่ยังอยู่ในวิสัยเรียนรู้ได้ แต่ความโหดร้ายของการปฏิวัติครั้งใหม่คือ คุณอายุ 40 หรือ 50 ปีแล้วต้องเริ่มเรียนเขียน Code

          มีอีกหลายประเด็นมาก ความที่หนังสือหนามากจะมีประเด็นมากมาย ที่เล่ามาเฉพาะจุดสำคัญ Yuval Noah Harari เขียนบทสุดท้ายและประโยคสุดท้ายจบหนังสือที่เก่งมาก ขออ่านตอนจบสักเล็กน้อยซึ่งเป็นคำถามที่ดีมาก เขียนมาทั้งหมดจนสุดท้ายแล้ว "มนุษย์ก้าวไปถึงจุดที่ตัวเองจะเป็นพระเจ้า พระเจ้าในความหมายก็คือ เราทำในสิ่งที่คนในสี่ห้าพันปีที่แล้ว นึกฝันว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นทำได้" เช่น เราสามารถบินไปบินมา เช้าอยู่กรุงเทพฯ สายอยู่เชียงใหม่ เราสามารถโทรคุยกับคนที่ห่างกันครึ่งโลกที่อยู่อเมริกาได้ เหมือนมีโทรจิต คนสมัยโบราณ Neanderthal (นีแอนเดอร์ทัล) ยังคงไม่เข้าใจว่าคุยได้อย่างไร อธิบายได้อย่างไร สุดท้ายเค้าบอกว่ามนุษย์ยังมีอะไรที่บกพร่องในตัวเยอะ เราเกือบจะสูญพันธุ์ในสมัยสงครามเย็น ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา กดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มระเบิดนิวเคลียร์เป็นสิบหรือเป็นร้อยลูก สามารถฆ่าคนได้ทั้งโลก แต่เรามีอำนาจขนาดนี้ เราก็ยังมีข้อบกพร่องอีกมากมาย  แล้วจบด้วยว่าจะมีอันตรายอะไรที่ยิ่งไปกว่าพระเจ้าที่ไม่รู้จักพอและไม่มีความรับผิดชอบ ผู้ซึ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ คือมนุษย์ในปัจจุบัน มีอำนาจมากแต่ไม่รู้จักพอ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้เพิ่ม  และได้ฟังแจ็คหม่าคุย กับอีลอน มัสก์ คนหนึ่งบอกว่าอยากจะอยู่ในโลกนี้ ปรับโลกนี้ให้น่าอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปไหน สู้กันและปรับโลกนี้ให้กลับมาน่าอยู่ อีกคนบอกว่าทางรอดมนุษย์เหลือไม่มากแล้ว โลกมันแทบจะย้อนกลับไม่ได้แล้ว ทางเลือกที่เหลือคือออกจากโลกให้ทันก่อนที่จะตายกันทั้งหมด น่าสนใจนะครับ ไม่รู้จะจบกันอย่างไรและไม่รู้ภายในชีวิตของผมจะได้เห็นตรงนั้นหรือเปล่า !!!

 

ลงทะเบียนรับข่าวสาร
ใส่อีเมลของคุณเพื่อรับข่าวสาร
ธปท. จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นของท่าน เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารของศูนย์การเรียนรู้ ธปท. อนึ่ง ท่านมีสิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ ธปท. ข้าพเจ้าให้ความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวของข้าพเจ้าตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้