บันทึก BOOK TALK: หนังสือ Money Coach รหัสลับ เกมชนะหนี้

บันทึก BOOK TALK: Money Coach รหัสลับ เกมชนะหนี้
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562 เวลา 14.00 – 15.30 น.
ชั้น 2 ลาน Fin Square ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
ผมโค้ชหนุ่ม เหตุผลที่ตั้งชื่อว่า Money Coach เพราะเมื่อก่อนเคยเป็นหนี้ และแก้ปัญหาหนี้ได้หมดตอนอายุ 34 ปี ทำให้มีอิสรภาพทางการเงิน คือ ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย แต่ว่ามีความเบาสบาย ไม่มีความกังวลทางการเงิน และมีสิทธิในการเลือกใช้ชีวิตอีกด้วย หากคุณหาเงินได้เยอะ แต่ติดกับการเงินอยู่ คุณจะไม่มีอิสรภาพ คุณต้องทำงานแบบผมได้ ทำแล้วไม่ได้เงิน แต่มีความสุขที่จะทำและวันหนึ่งก็อยากนำเอาสิ่งที่เรารู้มาแนะนำคนอื่น
ที่มาของคำว่า Money Coach เริ่มจากการทำ Webboard อยากสอนเรื่องการเงิน ซึ่งมีคนติดตามอยู่ แล้วจะเรียกเราว่าอะไรดี ก็มีคนบอกว่าใช้คำว่า ครู ความรู้สึกโดยส่วนตัวคำว่า ครู เป็นคำที่สูงมาก ก็เลยเรียกตัวเองว่า Money Coach ซึ่งไม่เคยไปสอบ Certificate ที่ไหน เพราะมีความมั่นใจตัวเองว่ารู้เรื่องการเงินในระดับหนึ่ง เพราะสามารถแก้ปัญหาทางการเงินด้วยความรู้ทางด้านการเงิน โดยไม่ได้ใช้ระบบกฎหมายเลย และเพราะเชื่อว่าถ้าเป็นหนี้แล้วไม่ได้เคลียร์ด้วยความสามารถ ไม่เคลียร์หนี้ให้หมด จะต้องใช้ชีวิตแบบก้มหน้าไปตลอด ซึ่งเราไม่ต้องการแบบนั้น เรายังมีความรู้ด้านการลงทุนที่หลากหลาย ด้านอสังหาริมทรัพย์ และการทำธุรกิจ และอีกความรู้สึกของคำว่า Money Coach มาจากเห็นโค้ชฟุตบอลยืนอยู่ข้างสนาม วิธีการสอนลูกทีมจะเป็นการด่าหรือตะโกนว่ากัน จึงมีความรู้สึกว่าอยากจะสื่อสารเรื่องการเงินแบบเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกัน จึงเป็นที่มาของการตั้งตัวเองว่าเป็นโค้ช
เคยเขียนหนังสือและแปลมาแล้วหลายเล่ม หนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ก็เป็นเล่มที่แปลมานานแล้ว รวมถึงมีงานเขียนหลายแบบ เช่น การเงินทั่วไป วันดีคืนดีรู้สึกอยากจะเขียนนิยาย เพราะมีความรู้สึกว่าคนไทยใกล้ชิดกับนิยายและละครมาก สังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าคืนไหนละครมีฉากที่สนุก เช้าวันนั้นคนจะต้องพูดถึง ถ้าหากใครไม่ได้ดูจะเหมือนตัวประหลาด เค้าคุยอะไรกัน เราไม่รู้เรื่อง หากสังเกตนิยายไทยในแต่ละช่องเป็นอย่างไร ก็เหมือนสะท้อนว่าคนไทยเป็นอย่างนั้น และส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้คนไทยเป็นหนี้สูงขึ้น เพราะนิยายสื่อสารผิด ทำให้หลาย ๆ คนจดจำและนำไปใช้ตัดสินใจกับเรื่องของตัวเอง พอไม่มีเงิน มีปัญหาก็ไปยืมเงินนอกระบบต่าง ๆ เพื่อให้ได้เงินมาก่อน ซึ่งการเป็นหนี้ต้องหาเงินมาใช้หนี้ เป็นวิธีการชำระหนี้ ที่เป็นองค์ประกอบของนิยายเล่มนี้
ที่มาในการเขียนหนังสือนิยาย "Money Coach รหัสลับ เกมชนะหนี้" ซึ่งมาจากชีวิตจริง 95% ที่แก้ไขปัญหาหนี้ 18 ล้าน เปลี่ยนแค่ชื่อคน โดยเขียนร่วมกับคุณปองวุฒิ นักเขียนระดับชิงรางวัลซีไรซ์ โดยเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณปองวุฒิฟัง หลังจากนั้นคุณปองวุฒิก็ส่งเนื้อหามาหนึ่งร้อยกว่าหน้า ว่าชีวิตพี่เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่ พออ่านเสร็จปุ๊บ ใช่เลย ทำไมถึงเก่งอย่างนี้ นิยายเล่มนี้เสร็จได้ต้องยกให้คุณปองวุฒิ ส่วนผมมีหน้าที่มาดูตัวเลขให้ถูกต้อง นี่เป็นที่มาของหนังสือ
เรื่องย่อหนังสือ "Money Coach รหัสลับ เกมชนะหนี้" ช่วงปี 2540 เป็นปีที่ผมเรียนจบ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็นช่วงที่บ้านล้มละลาย ซึ่งเดิมมีชีวิตสุขสบายตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเป็นลูกเถ้าแก่ ชีวิตที่เคยสบายมาตลอด แล้วมาเจอความลำบาก เหมือนชีวิตมันช็อคและงง ทำให้ต้องสู้ชีวิตมาตลอด ในช่วง 7 ปีแรกของการแก้ปัญหาหนี้คือมั่ว และไม่มีความรู้เรื่องเงิน โดยขอเล่าเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นนิยาย และส่วนที่เป็นวิธีการจัดการเงิน
ในช่วง 7 ปีแรก คิดว่าต้องหาเงินให้มากขึ้น ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องเงินได้ ในปี 2543- 2544 อายุ 24-25 ปี หาเงินได้เดือนละ 60,000 บาท ซึ่งเยอะมาก คือ ทำงานประจำมีรายได้ 14,000 บาท หลังเลิกงานก็มีงานสอนพิเศษ รับจ้างขายของ และอีกหลายอย่าง เช่น รับของจากประเทศจีนมาขาย รวมถึงงานอื่น ๆ ลองทำงานมาหมด สุดท้าย 7 ปี หนี้ทำไมไม่ลดเลย ก็เริ่มสงสัยและที่แย่ที่สุดคือ เดิมที่บ้านเป็นหนี้ 18 ล้านบาท หลังจากไปแก้หนี้ประมาณ 3-4 ปีแรก ปรากฏว่าหนี้เพิ่มเป็น 20 ล้านบาท เหตุผลเพราะว่าเราไม่รู้เรื่องการเงิน บางเรื่องที่ง่ายก็ยังไม่รู้ เช่น หนี้ส่วนบุคคลกับหนี้ธุรกิจ จะไม่เกี่ยวกัน เริ่มจากพ่อทำธุรกิจมีหนี้ 18 ล้านบาท ต้องส่งหนี้เกือบเดือนละสองแสนบาท เราเป็นลูกเราต้องช่วย พอเราทำงานก็เริ่มมีสลิปเงินเดือน ช่วงหลังปี 2540 ใครจำได้ธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในประเทศไทยหลายชื่อ เช่น กรุงเทพพาณิชย์การ ศรีนคร เป็นต้น ปัจจุบันได้หายไป หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ เช่น ซิตี้แบงก์ หรือสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ที่เข้ามาในช่วงแรกๆ ก็จะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาเผยแพร่อย่างแพร่หลายมาก ในช่วงนั้นรายได้ 15,000 บาท ก็สามารถทำบัตรเครดิตได้ ซึ่งเดิมคนที่สามารถทำบัตรเครดิตได้จะต้องมีเงินเดือนสูง
แล้ววันหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานก็มีโทรศัพท์เข้ามา และแจ้งว่าคุณจักรพงษ์ เนื่องจากคุณมีเครดิตทางการเงินดี สามารถได้สินเชื่อ 5 เท่าของรายได้ และทำบัตรเครดิตได้ ซึ่งในช่วงนั้นบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ยังไม่ก่อตั้ง เพิ่งตั้งประมาณปี 2545 มาไม่ทันช่วยผม ทำให้ทำบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต รวม 17 ใบ โดยคิดแบบโง่ ๆ คือ ทำบัตรเครดิตสินเชื่อบุคคล ที่เคยแจ้งมาว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องทำอะไร มีเจ้าหน้าที่นำใบสมัครยื่นให้ถึงที่ทำงาน โดยไม่ต้องกรอกรายละเอียด ซึ่งช่วงนั้นหูอื้อ ได้ยินเพียง 4 คำว่า เซ็นตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ เพราะอยากได้เงิน พออนุมัติแล้ว จะได้เงินมาก้อนหนึ่ง เราก็จะมารวมกับเงินที่หาได้ เพื่อมาช่วยที่บ้านให้รอดไปหนึ่งเดือน โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็นเงินกู้ที่เป็นภาระที่ต้องผ่อน 24-36 เดือน เพียงไปส่งค่างวดให้ที่บ้านงวดเดียว เหมือนคลื่นซัดหาย และแต่ละเดือนก็ต้องคิดว่าจะหาเงินได้ที่ไหน ซึ่งก็ยังมีธนาคารอื่นโทรเข้ามาเหมือนธนาคารแรก ทำอยู่ประมาณ 4-5 ครั้ง รวมกดบัตรเครดิตเข้ามาช่วย กลายเป็นว่าตัวเองมีหนี้เกือบหนึ่งล้านบาทจากบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นหนี้ที่สูงมาก
และที่มันสนุกมากคือ เวลามีเจ้าหนี้มาที่บ้าน พ่อจะหลบอยู่ที่บ้าน และลูกมีหน้าที่ออกไปพูดเสียงแข็ง ๆ หน่อย
ถาม : มาหาใคร
ตอบ : มาหาพ่อ
ผมก็จะบอกว่าพ่อไม่อยู่ แต่พอเราช่วยที่บ้านแบบมึน ๆ ทำให้การเงินเราเละไปด้วย ก็เลยต้องหลบอยู่หลังบ้านพร้อมกัน คอยดูว่าเป็นเจ้าหนี้ของใครมาทวง ถ้าหากเป็นของผม พ่อก็จะบอก ผมไม่อยู่ ก็จะสลับกัน มันผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้ว นี่คือความงง ที่ชีวิตไม่รู้ว่าการเงินที่ทำแบบนี้ไม่ถูก หาเงินมาได้ก็ต้องเอาไปใช้หนี้ หากเราลองนึกดูมนุษย์คนหนึ่งตื่นเช้าไปทำงานตั้งแต่ตีห้า เพื่อไปขึ้นรถบริษัท ถ้าไม่ทันต้องนั่งรถแท็กซี่ไปซึ่งมันไกลมาก และเลิกงานห้าโมงเย็นก็ต้องรีบออกมาเพื่อธุรกิจของเราต่อ มารับสอนพิเศษ อะไรต่าง ๆ เสาร์และอาทิตย์ก็ไปทำงานเป็นที่ปรึกษาของโรงงาน ทำงานทุกวันแบบนี้จนถึงตีหนึ่ง นอนแล้วก็ตื่นมาใหม่ ช่วงนั้นอายุเพิ่งยี่สิบกว่า ๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าตอนนี้ไม่น่าทำไหว เงินที่ได้มาตอนสิ้นเดือนห้าหกหมื่นบาท ขยัน 30 วัน ก็มีคนมารอรับหมดเลย ไม่เหลือให้ตัวเองเลย บางครั้งจ่ายให้เจ้าหนี้ไม่พอด้วย ใช้เวลา 7 ปี ยังมั่วอยู่ จนมีจุดเปลี่ยนคือ มีความรู้ทางการเงิน ใช้เวลา 5 ปี ในการเคลียร์หนี้ทั้งหมดและมีรายได้จากการมีทรัพย์สินแบบเลี้ยงตัวเองได้ โดยแต่ละวันไม่ต้องลุกไปทำงาน ตั้งแต่อายุ 34 จนถึงปัจจุบันอายุ 46 ปี สิ่งที่ย้อนกลับไปมองทั้งหมด สิ่งที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้คือไปเจอความรู้ทางด้านการเงิน ที่ยังมีหลายคนไม่เข้าใจ คือต้องมีความรู้เรื่องออม เป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่ใช่สำคัญที่สุด การออมเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเศรษฐี และหาทางไปลงทุนให้เป็น
คำว่าหนี้ เป็นความรู้ที่คนทั่วไปไม่ค่อยมี ในช่วงนี้ก็จะมีการรณรงค์ว่า อย่าเป็นหนี้ !!! ทำไมคนเป็นหนี้ไม่ได้ ถ้าฟัง Money Coach แล้วจะต่างกัน คน ๆ หนึ่งเริ่มทำงานเมื่ออายุ 20 ปี ทำงานมา 10 ปี ถ้าหากจะซื้อบ้านด้วยเงินสด ก็น่าจะมีไม่มาก ถ้าหากพ่อแม่ไม่ได้ช่วย หรือทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ สำหรับคนธรรมดาที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ก็จะมีเงินเก็บมาหนึ่งก้อนหลังจากทำงานมา 10 ปี สำหรับไปดาวน์บ้านและที่เหลือก็กู้ผ่อนกับธนาคาร เพราะฉะนั้นคำที่สอนกันว่า อย่าเป็นหนี้ มันไม่ถูกต้องเสมอไป หรืออีกตัวอย่าง เด็กบางคนเริ่มทำงานมีเงินเดือน 12,000 บาท อยากจะมี Notebook ไว้ทำงาน แต่ไม่มีเงินก้อนที่จะซื้อ ก็ต้องผ่อนเป็นราย 12-18 เดือน เฉลี่ยเดือนละพันกว่าบาท และก็ผ่อนได้ตามสัญญา ก็ไม่ผิด ซึ่งจริงแล้วเป็นหนี้ได้ หรือการผ่อน 0% ก็ไม่เป็นปัญหา ปัญหาคือชอบผ่อน 0% ผ่อน 10 เดือนพร้อมกันหลายอย่าง เราอย่าโทษคนอื่นมันจะแก้ไม่ได้ ถ้าจะเป็นหนี้ก็ต้องมีความจำเป็นแล้วต้องพร้อมที่จะผ่อนด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องหนี้ก็เป็นได้ อยู่ที่ความจำเป็นของชีวิตและมีความพร้อมภายใต้การวางแผนเป็นอย่างดี และที่สำคัญคือ ใช้หนี้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุน เรื่องหนี้เป็นความรู้ทางด้านการลงทุนที่สูงขึ้นไป
ขอหยิบเนื้อหาในหนังสือมาเล่าให้ฟัง เดิมที่บ้านเป็นร้านขายอะไหล่รถยนต์ ช่วงก่อนหน้าปี 2540 ก็ยังมีชีวิตดีอยู่ บ้านอยู่ทางถนนเสรีไทย มุ่งหน้าเข้าทางถนนบางกะปิ สมัยก่อนร้านอยู่ติดริมถนน ลูกค้าก็มาจอดซื้อ ใครก็ติดใจคุณพ่อ แนะนำสินค้าให้ลูกค้าได้ถูกใจและชอบ วันดีคืนดีก็มีการทำสะพานข้ามแยก แก้ปัญหารถติด ทำให้บ้านอยู่ตรงขอบสะพานและเป็นเส้นจราจรขาวแดง ลูกค้าไม่สามารถจอดรถซื้อของได้ และการบริหารเงินที่ร้านเป็นแบบกงสี เพราะสมัยก่อนได้เงินมาจะนำมารวมกองกลาง แจกจ่ายเงินเดือนก็รักกันแบบพี่น้อง จนมีปัญหาช่วงรุ่นพ่อเชื่อมรุ่นหลาน ทุกคนอยากสบาย แต่เงินกองกลางที่ขายสินค้าได้ลดน้อยลง รายได้ไม่เท่าเดิม แต่ยังใช้จ่ายกันอย่างเต็มที่ ไม่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทำให้ไม่ทราบผลกำไร สักพักพี่ป้าน้าอาก็แยกออก เพราะดูแล้วว่าธุรกิจไปไม่รอด แต่ด้วยคุณพ่ออยากให้ธุรกิจของอากงอยู่ให้ได้ เลยสู้ และล้มละลาย สุดท้ายก็ต้องปิดร้าน ต้องเป็นคนรับผิดชอบ เป็นช่วงที่ผมเรียนจบกำลังจะรับปริญญา
และจำได้ว่าในปี 2540 เป็นปีที่หางานทำยากมาก หางานจากหนังสือพิมพ์ที่มีโฆษณา รับสมัครทำงานต้องมีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.75 คน เราเรียน 6 ปี ได้เกรดเฉลี่ย 2 นิด ๆ ทำให้ไม่มีโอกาสไปสมัครงาน สุดท้ายได้ยื่นใบสมัครทำงานไป 50 แห่ง สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นและสามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะว่าผมได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณพ่อ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ลูกมี 4 คน แต่ว่ามีอะไรก็จะคุยกับผม ซึ่งเป็นการสอนลูกด้วยวิธีที่ผิด เพราะพี่น้องอีก 3 คน จะทำอะไรไม่ได้ แก้ไขปัญหาไม่ได้ พ่อสอนวิธีคิด การขายที่จะทำให้ลูกค้าประทับใจต้องทำอย่างไร มีสิ่งหนึ่งที่พ่อสอนและเชื่อตลอดว่า เวลาจะคิดทำอะไร ให้ทำไปเลย อยากจะชวนคนมาลงทุน ชวนเลย ถ้าเค้าปฏิเสธก็รับได้ พ่อบอกต้องแยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเพราะตัวเองยังไม่เก่งพอที่ใครอยากจะร่วมมือด้วย ก็ต้องไปหาโอกาสไปทำให้ตัวเองเก่งขึ้น คนก็อยากจะมาร่วมมือด้วย ส่วนที่สองคือต้องเข้าใจด้วยว่าการโดนปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมดาของโลก โลกใบนี้มีคนเก่งเยอะ มีคนเก่งไม่สบความสำเร็จมากมาย แต่ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จเพราะเอาความกล้ามาก่อนความเก่ง โลกนี้เป็นโลกของคนกล้า ผมเองผ่านกระบวนส่งใบสมัครงานมา 50 แห่ง เค้ารับเกรด 2.50 ผมก็ยึดหลักแบบของพ่อ คือหน้าที่ส่งจดหมายสมัครงานเป็นหน้าที่ของผม ส่วนหน้าที่ทิ้งใบสมัครของผมเป็นหน้าที่ของบริษัท ที่สมัคร 50 แห่ง เรียกกลับมาเพียง 1 แห่ง และผมมั่นใจว่าถ้าบริษัทไหนเรียก บริษัทนั้นผมต้องได้งานแน่ ๆ ผมไม่รู้เอาความมั่นใจจากไหน บริษัทที่เค้าให้ผมทำงานมีคนสมัครในตำแหน่งเดียวกันประมาณ 40 กว่าคน และในช่วงนั้นมีคนตกงานเยอะ บริษัทเลยได้เปรียบเลือกแล้วเลือกอีก และผมได้ เพราะผมมั่นใจตามที่พ่อบอกว่า โลกใบนี้ เราพูดแล้วคนฟังรู้เรื่องสำคัญที่สุด มีคนเก่งที่พูดไม่รู้เรื่องมากมาย ผมเก่งน้อยกว่าเค้า แต่ผมพูดรู้เรื่องมากกว่า พ่อจะสอนเรื่องทักษะในการสื่อสารตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาผมพูดกับพ่อ ๆ จะบอกว่าพูดอะไรงึมงำ พ่อก็จะดุ พ่อบอกว่าต้องพูดชัด ๆ จะเอาไร ไม่ต้องอ้อม เวลาพูดกับผู้ใหญ่ ผมจะถูกฝึกเรื่องความคิดว่าต้องกล้าทำ ไม่ต้องรออะไรให้พร้อม ทำเลย ความสามารถในการสื่อสาร พูดน้อย ๆ แต่ให้มันคม ให้ชัด ให้คนเข้าใจ และพยายามคิดถึงคนอื่น สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด เนื้อหาหนังสือในเล่มก็จะเล่าชีวิตการทำงานพอสมควร และในช่วงชีวิตที่ตกอับที่สุดคือต้องแคะกระปุกไปทำงาน
มาถึงวันนี้ขอเล่าเป็นไอเดียในการจัดการปัญหาทางการเงิน แก้โดยอันดับที่ 1 อย่าพยายามให้เงินเค้า พยายามยื่นมือ แต่อย่ายื่นเงิน เช่นเค้าขาดงานที่มีรายได้ ก็ช่วยเค้าหางาน แต่ถ้าเค้าไม่ต้องการ ปล่อยเค้า หากต้องการแก้ปัญหาหนี้ได้ คือ 1. ทำให้คนนั้นยอมรับปัญหาหนี้ได้ ว่าเรื่องทุกอย่างเกิดจากตัวเค้า เพราะถ้าเค้ายอมรับตรงนี้มันจะง่าย เพราะว่าทุกอย่างเกิดขึ้นที่เค้า ๆ เป็นคนเดียวที่จะดับมัน 2. พยายามคุยและให้กำลังใจ ไม่ควรยื่นเงิน
การแก้ปัญหาด้วยวิธีการยืมเงิน และหมุนเงิน จะไม่จบ สุดท้ายได้คำตอบ การให้คำแนะนำ ยื่นมือ สำคัญสุด ผมมีหนี้อยู่ 18 ล้านบาท เป็นหนี้บ้านที่ซื้อตั้งแต่รุ่นพ่อ และผ่อน ปรากฏว่าพ่อรู้ว่าล้มละลาย ก็บอกว่าหนุ่มซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากพ่อ เพราะเหลือหนี้ไม่เยอะแล้ว ผมซื้อและผ่อน ปรากฏว่าต่อให้หนี้ไม่เยอะ ก็ผ่อนไม่ไหว เพราะมีหนี้อื่นๆ อีกจิปาระ คนที่พาผมออกจากปัญหา ทำให้ผมเปลี่ยนวิธีคิดคือ นายธนาคารคนหนึ่ง โทรตามเพราะว่าไม่ได้จ่ายหนี้บ้านหลังนี้ โทรมาผมก็ไม่รับสาย เพราะว่าไม่มีเงินจ่ายหนี้ แต่คิดไม่ถูก เพราะถ้าไม่มีเงินควรคุยดีกว่า เรื่องจะได้ไม่บานปลาย แต่นายธนาคารคนนี้สุดมาก เช้าวันหนึ่งเวลา 05.45 น. กำลังล็อคกุญแจออกจากบ้านไปทำงาน ได้ยินเสียงคนเรียก คุณจักรพงษ์ ผมหันไปตกใจ แนะนำตัวเองว่า พี่เป็นนายธนาคาร ให้ผมลางานหนึ่งวัน เพื่อแวะมาคุยจัดการปรับโครงสร้างหนี้ จนผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มาถึง 2 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่สามารถผ่อนหนี้ได้ ก็เลยแจ้งนายธนาคารว่าให้ยึดบ้านไปเลย
แต่นายธนาคารแจ้งว่าธนาคารอยากได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืน ยึดเอาบ้านคุณไปก็ไปเป็นหนี้ NPL ของธนาคาร และต้องขายทิ้งภายใน 5 ปี จึงทำให้รู้ว่าทำไมธนาคารถึงยึดบ้านของผมช้า เพราะบ้านแถวบางกะปิจะขายทอดตลาดได้ยาก ขายเป็นครั้งที่ 4-5 ก็ต้องตัดหนี้ออกจากธนาคารแล้ว ซึ่งธนาคารไม่อยากรับเป็นภาระ นายธนาคารแนะนำให้ผมขายบ้าน ขายแล้วเอาส่วนที่ค้างธนาคารมาคืน ซึ่งคาดว่าขายได้ประมาณสองล้านบาท นำเงินหนึ่งล้านสองแสนบาทคืนให้ธนาคาร แล้วส่วนต่างประมาณหนึ่งล้านบาทก็เอาไปตั้งเนื้อตั้งตัว เป็นทางออกที่ดี ปรากฏว่าผมขายบ้านได้สองล้านบาท คืนธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ไปหนึ่งล้านสองแสนบาท นายธนาคารที่ยึดบ้าน คืนเช็คเงินหนึ่งล้านบาทให้ผม เงินที่เหลือยังไม่จ่ายคืนเจ้าหนี้ ต้องตั้งหลักว่าจะนำเงินก้อนนี้ไปทำอะไร พบว่าโจทย์นี้สำคัญ เพราะว่าต้องบริหารให้เรามีกินมีอยู่อย่างประหยัดได้ไปกี่เดือน เพื่อให้เรามีสติที่สามารถผ่านตรงนี้ไปได้ แล้วที่เหลือค่อยจัดสรรให้ใครบ้าง และนี่คือจุดเริ่มต้นของผม และผมได้รู้ข้อมูลเพิ่มขึ้นจากการคุยกับนายธนาคารว่าในการแก้หนี้บ้าน สำคัญสุดคือ 1. อย่าไปกู้เงินนอกระบบ เพราะดอกเบี้ยร้อยละ10 ต่อเดือน เป็นร้อยละ 20 ต่อเดือน หรือร้อยละ 2 -3 บาท ต่อวัน ให้หมุนเงินอย่างไรก็หมุนไม่ทัน 2. วิธีตรงในทางแก้หนี้ที่ดีที่สุด คือคุยกับเจ้าหนี้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมไปศึกษามากขึ้น ว่าเรื่องการเงินสำคัญ ถ้าเราเสียเวลาในการแก้หนี้นานเกินไปไม่น่าจะดี ทำให้เสียเวลาในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อีกเรื่องที่กระตุกชีวิตคือ เรื่องราวของอาแปะอายุ 70 ปี ขายเต้าฮวยรถเข็น ผ่านมาขายหน้าบ้านผมทุกเย็น แล้วก็จะซื้อเต้าฮวยกินทุกวัน แล้ววันดีคืนดีแกจากไป ผมได้ไปงานศพโดยไม่ได้เป็นญาติ และได้ยินคำนึงว่า อาแปะน่าสงสารนะ ลูก ๆ ก็ไม่ดูแล เป็นหนี้แค่แสนกว่าบาท แต่เป็นหนี้จนวันสุดท้ายของชีวิต เลยนึกในใจ อาแปะแสนเดียว แต่เรา 18 ล้าน เพราะฉะนั้นเราต้องจริงจัง ฝากบอกทุกคนหากใครไปเจอคนเป็นหนี้ ให้บอกเค้าว่า หนี้กับความรักไม่เหมือนกัน ถ้ามีปัญหาทางด้านความรักเวลาจะเยียวยา แต่ถ้าเป็นหนี้เวลาไม่เคยเยียวยา แถมจะทำให้หนี้ผลิบานขึ้นด้วย ผมก็เลยคิดว่าเราต้องแก้ 3 อย่างพร้อมกัน คือ
1. ลดรายจ่าย ไม่ใช่ลดเรื่องกินอยู่ใช้
2. เพิ่มรายได้ จากทักษะที่มีอยู่ในตัว ตอนนั้นผมเลือกทำที่บริษัทอุตสาหกรรม เพราะอยู่ในบริษัทผมอยู่ฝ่ายวางแผน ก็เริ่มรับงานเป็นที่ปรึกษาทำระบบให้ฟรี 3 บริษัท โดยไม่รับเงิน เหตุผลเพราะว่าอยากจะทำงานให้เป็นก่อน หากคุณค่าตัวเองมีมากพอ ฝีมือเราถึง เงินก็วิ่งมาเอง ผมช่วยทั้ง 3 บริษัทจนเค้าบอกว่าต้องให้เงินเป็นค่ารถกลับบ้านวันละ 2,000 บาท และเริ่มทำจากตรงนั้นไล่มาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทใหญ่ ๆ เช่น ปตท. ปูนซิเมนต์ไทย การไฟฟ้า และอีกหลาย ๆ แห่ง และเป็นทักษะที่สามารถทำได้เลย ยิ่งผ่านงานยิ่งมีประสบการณ์ที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นธุรกิจทุกธุรกิจ ผมเริ่มจากงานที่เรามีทักษะและมีความเชี่ยวชาญ เพิ่มรายได้ ทำให้พบความจริงว่า จริงๆ เราก็ขยันนะ หนึ่งเดือนหาเงินได้ ห้าหกหมื่นบาท เราก็ไปบริหารจัดสรร และเดือนหน้าก็ต้องทำใหม่อีก ต้องรับงาน ต้องไปรับให้คำปรึกษาอีก ก็เลยเริ่มคิดว่ามันมีวิธีไหนที่เราทำงานครั้งเดียวและเก็บกินได้
3. ต้องสร้างทรัพย์สิน มุมคิดเรื่องนี้เกิดจากเรื่องเล็ก ๆ คือ บ้านที่ผมผ่อนแล้วผ่อนไม่ไหว ตอนที่ผมเป็นหนี้ ผมซื้อบ้าน 2 หลัง คือบ้านที่คนในบ้านอยู่ด้วยกัน ผ่อนไม่ไหว และปรับโครงสร้างแล้วปรับแล้วปรับอีก กับบ้านอีกหลังที่ซื้อโดยไม่ได้ตั้งใจ คนที่สั่งให้ซื้อคือพ่อ ซื้อบ้านป้าที่อยู่ข้างบ้าน ที่เป็นบ้านเช่า ขายหนึ่งล้านสามแสนห้าหมื่นบาท พ่อตัดสินใจให้ผมซื้อ และได้ไปทำเรื่องกู้กับธนาคาร หลังจากทำเรื่องกู้เสร็จแล้ว ถามพ่อว่าจะซื้อบ้านไปทำไม พ่อบอกรู้หรือไม่ว่าบ้านหลังนี้ แบ่งออกเป็น 15 ห้อง ข้างหลังที่เป็นสวน สามารถทุบออกแล้วสร้างตึกมาได้อีกตึกคู่กัน 15 ห้อง เก็บเงินได้ 22,000 บาท แต่เราต้องผ่อนกู้ธนาคารเดือนละ 9,500 บาท ถือเป็นกระแสเงินสดบวก นี่คือทรัพย์สิน เป็นหนี้ที่ทำให้เกิดทรัพย์สิน
วันที่ผมเหนื่อยคือบ้านตัวเอง แต่บ้านหลังที่สองที่ไม่ขายคือบ้านหลังนี้ เพราะยังมีกระแสเงินสดมาเลี้ยงเราตลอดทุกเดือน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างทรัพย์สิน ทำให้ผมเปลี่ยนวิธีคิด ทำอย่างไรจะทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มแบบนี้ และผมเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด โดยรับงานที่ปรึกษาและจ้างน้องนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ สอนให้เค้าทำเป็น พี่รับงานแต่ละครั้งได้ 25,000 บาท โดยให้รายได้น้องครั้งละแปดพันถึงหนึ่งหมื่นบาทต่อครั้ง อยู่ที่น้องกำหนดว่าจะทำงานแล้วเสร็จกี่วัน ปรากฏว่าน้องทำงานเพียง 3-4 วันงานก็เสร็จเท่ากับทำงานหนึ่งเดือน ทำให้เวลาผมทำงานก็ไม่ใช่แค่ 22 วันต่อเดือนแล้ว มันมากขึ้น เราเข้าใจถึงกฎแห่งการทวี เพียงเราเปลี่ยนหน้าที่เป็นคนรับงานหรือเจรจางาน รับงานหนึ่งโครงการและหาน้องมาช่วยทำงาน คนไหนเก่งและดี เราก็ปรับเงินให้ เพื่อให้เค้าสามารถอยู่ได้ หากน้องแยกออกไปทำงานอื่นก็ไม่เป็นไร เพราะเราต้องเข้าใจว่างานแบบนี้ต้องให้คนใหม่ ๆ ได้เกิดบ้าง และหากผมรับงานเกิน หากน้อง ๆ ที่ว่างก็จะมาช่วยทำงานให้ กลายเป็นว่าเราไม่ต้องใช้เวลา แต่เงินเรามากขึ้น บางเดือนไม่ได้ออกไปทำงานเลย มีน้อง ๆ ออกไปทำงานเพราะได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ทำให้ผมเริ่มมีธุรกิจนี้ขึ้น และยังมีอีก 2-3 ธุรกิจ
ในระหว่างที่กำลังแก้หนี้ได้ ก็ได้แปลหนังสือพ่อรวยสอนลูกที่อยู่ในประเทศไทยทั้งหมด รวมถึงเปิดคอร์สสอนเกี่ยวกับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในช่วงแรก มีคนเรียน 40 คน ช่วงหลัง ๆ มีคนเรียนประมาณ 200 กว่าคน กำไรต่อหัวประมาณ 2,000 บาท ในหนึ่งปีมีกำไร 1-2 ล้านบาท ผมคิดว่าทุกอย่างที่ผ่านมาและแก้ไขปัญหาไปได้ และทุกวันนี้เจอใครที่ทุกข์ก็จะให้มุมคิดและให้กำลังใจ และบอกว่าชีวิตเราผ่านไปได้หมด เพียงมี 3 อย่างนี้ คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และสร้างทรัพย์สิน ผมเรียกว่าวิธีการปลดหนี้ 300%
ลดรายจ่าย ทำให้เราคล่องขึ้น หารายได้ ทำให้เราคล่องขึ้น การมีทรัพย์สินทำให้เราผ่อนแรง และสิ่งที่เกิดขึ้นการเปลี่ยนหนี้มาเป็นอิสรภาพทางการเงิน จึงเป็นเกมชนะหนี้ เพราะว่า ถ้าเรามีทรัพย์สิน ผมมีบ้านเช่า มีธุรกิจเล็ก ๆ วันที่เรามีหนี้ ทุกเดือนบ้านเช่าจะให้เงินส่วนต่างมา ธุรกิจที่ทำงานเป็นที่ปรึกษา มีน้อง ๆ ทีมงานไปทำงานช่วยผม บริษัทฝึกอบรม เงินที่ได้มาทุกเดือน จะถูกเอาทยอยแก้หนี้และผ่อนหนี้ไป และในวันที่หนี้หมด ทรัพย์สินมันยังตั้งอยู่ ทรัพย์สินยังคงผลิตกระแสเงินสดให้เรา สามารถเอามาจัดการรายจ่ายต่อเดือนของเรา เมื่อรายจ่ายทรัพย์สินข้ามรายจ่ายต่อเดือน ก็จะเริ่มมีอิสรภาพทางการเงินเล็ก ๆ มีตัวช่วยผ่อนแรง ทำให้เราเลือกได้ว่า งานไหนที่จะเลือก หรือรับทำ เพียงอยากให้ความรู้ทางการเงินกับทุกคน
ในช่วงที่ผมเริ่มมีชื่อเสียง เป็นคนดังระดับกูรู สิ่งที่ผมอยากจะเตือนพวกเราทุกคนคือ ในแวดวงการเงิน คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนอย่างพวกผม ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกคุณเชื่อผม เริ่มคิดว่าพูดจาดี เข้าท่า มีหลักมีเหตุมีผล คุณจะเชื่อและศรัทธามากแค่ไหนก็ตาม อย่าเชื่อว่าเค้าชี้อะไรก็ทำ ให้คิดหน่อย คิดตามหลักกาลามสูตร ได้ยินได้ฟังอะไร เพราะเค้าเป็นครูเรา อย่าเชื่อเพราะทำตามกันมา
ในช่วงที่ผมเริ่มมีชื่อเสียง และตั้งชมรมพ่อรวยสอนลูก ผมเริ่มแก้ปัญหาได้ และนำความรู้มาเขียนใน Webboard มีคนเริ่มติดตามก็มีความร่วมมือกันกับคนในกลุ่ม และในวันหนึ่งก็มีคนดังระดับกูรูเข้ามาร่วมกิจกรรมในกลุ่ม และทำงานร่วมกัน ทำงานได้หนึ่งปีกว่า ๆ คนดังระดับกูรูคนนั้นมาบอกว่าจะไม่ร่วมมือต่อแล้ว เพราะเห็นว่าชมรมเดินต่อไปได้ และผมก็เริ่มมีคนรู้จักแล้ว ขอแยกตัวไป ผมก็ไม่เอะใจอะไร ปรากฏว่าหลังจากนั้นชมรมจัดกิจกรรม ก็จะมีผู้เสียหายมาโวยวายในกิจกรรมของเรา ว่าชมรมหลอกลวงเงินคน ผมก็บอกว่าหลอกเงินอะไร เวลาเราจัดกิจกรรม ก็จะมีบรรยาย มีกิจกรรมเล่นเกมส์ Cash flow เดือนละครั้ง และครั้งสุดท้ายที่เรารวมตัวกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบุก แจ้งว่ามีคนมาหลอกเงินเค้าไป และมีเจ้าทุกข์มาด้วย ผมถามว่าใครเอาเงินคุณไปครับ คุณชี้ได้เลยทีมงานของผมอยู่ตรงนี้หมด เราส่งตัวให้ตำรวจอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา เจ้าทุกข์ทุกคน บอกว่าไม่อยู่ในนี้ ก็ไม่ใช่พวกผมแล้วสิ แล้วทำไมมาอ้างว่าชมรมผมหลอกลวง
ปรากฏว่าคือกูรูดังที่ขอแยกตัว นี่คือหลักการง่าย ๆ ของแชร์ลูกโซ่ ในยุคสมัยไหนก็ยังเหมือนเดิม เปลี่ยนหน้ากากเท่านั้นเอง หลักการคือ อิงกับความไม่รู้อันดับหนึ่ง โลภและมักง่าย วิธีการของคนกลุ่มนี้ง่ายๆ เค้าจะเปิดการลงทุนอะไรก็ตาม ในเรื่องนี้เค้าใช้วิธีการกระซิบ เพราะคนในกลุ่มจะเป็นผู้ใหญ่ มีเงินจากการเกษียณ ได้ฟังอาจารย์บรรยายแล้วเก่งมากเลย แต่ตัวเองฟังแล้วไม่เข้าใจหากไปลงทุนเองก็เจ๊ง ก็เลยจะฝากอาจารย์ลงทุน และนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ได้เงินเกือบสองร้อยล้านบาท เพียงชมรมเล็ก ๆ มีสมาชิกหมื่นคน หลักการคือคุณเอาเงินมาฝากผมลงทุนคนละสองล้านบาท กระบวนการแบบนี้ต้องใช้วีธีการแบบสะสมคน ช่วงแรกลงทุนสองล้านบาท ประกันผลตอบแทน 5% ต่อเดือนคือ 60% ต่อปี คุณฝากผมสองล้านบาท เดือนถัดไปโอนเงินผลกำไรให้หนึ่งแสนบาท ส่วนสองล้านบาทยังอยู่ เดือนถัดไปได้หนึ่งแสนบาท เงินสองล้านเงินต้นยังอยู่ ตื่นเต้น เก็บความดีใจไว้ไม่ได้ ก็ไปชวนคนอื่นมาก็ทำให้วงใหญ่ขึ้นอีก และจะมีคนคอยพูดว่าฉันได้เงินจริง ๆ ก็อาจเป็นไปได้ เพราะเค้าเอาเงินเลี้ยงจนครบทุกคน หรืออาจจะไม่ได้รับเงินทั้งหมดเพราะเค้าปิดวงไปก่อน ที่ตลกคือโครงสร้างเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนที่หน้ากาก ๆ เปลี่ยนไปตามการลงทุนที่ได้รับความนิยมของยุค เช่น กองทุนหุ้น ต่างประเทศ พอยุคถัดมา คริปโตเคอเรนซี่ สตาร์ทอัพ เวนเจอร์แคปปิตอล คำอะไรก็ตามที่ฟังแล้วงง ๆ ลงทุนแล้วต้องดีแน่เลย
สิ่งที่อยากเตือนคือการลงทุนแบบนี้ยังมีตลอดเวลา ยังไม่หายไปไหน จำคำของผมไว้ ไม่มีใครทำเงินได้เท่าความรู้ของตัวเอง และวันหนึ่งก็จะฝันว่านิยายไทยจะเปลี่ยนรูปแบบ มีเนื้อหาเข้มข้น สำหรับคนที่ไม่เคยดูนิยายการเงินแบบสุด ๆ ผมแนะนำให้ไปลอง Search ใน Google จะมีนิยายญี่ปุ่น "ฮันซาวะ นาโอกิ" เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก คือการฉีกกฎการทำละคร พูดคุยกันอยู่ก็จะมี power point ขึ้นระหว่างกลาง เป็นการให้ความรู้ที่ต้องการให้ผู้ชมทราบ เช่น การทำแบบนี้ไม่ถูก / ความหมายการเช่าช่วง ซึ่งดูแล้วได้ความรู้เพลิดเพลินอีกหนึ่งรูปแบบ
วันนี้ขอบคุณมาก และหวังว่าเรื่องราวคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย หากมีโอกาสสามารถติดตามได้ที่ Page Money Coach