บันทึก Book Talk : SUPER PRODUCTIVE


บันทึก Book Talk : SUPER PRODUCTIVE
วันเสาร์ที่ 25 มกราคม 2563 เวลา 14.00 – 15.30 น
ชั้น 2 ลาน Fin Square ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีทุกท่าน หนังสือ Super Productive ที่นำมากล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องน่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับผม ทุกวันนี้ทุกท่านรู้สึกเหนื่อยที่ต้องพัฒนาตัวเอง สำหรับท่านที่อยู่ในวัยทำงานหรือเพิ่งเรียนจบจะรู้สึกว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และจะทำอย่างไรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง หลายท่านอาจไม่มีความมั่นใจในทางที่จะก้าวไป และที่จะกล่าวต่อไปนี้ไม่ได้ให้ทำงานมากขึ้น คำว่า "productive" หมายถึง value ที่สร้างขึ้น ไม่ใช่ปริมาณชั่วโมงการทำงาน

เทศกาลปีใหม่ และตรุษจีนเป็นช่วงเวลาพิเศษของการคิดทำอะไรใหม่ ๆ มีการทำ New Year Resolution เช่น ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เล่นมือถือให้น้อยลง เหล่านี้คือสิ่งที่ทุกท่านอยากแก้ไข ซึ่งจะวนกลับมาทุกปีเพราะทำไม่ได้ คนส่วนใหญ่ประมาณ 80 % มี New Year Resolution บางท่านก็เขียนใส่กระดาษ Facebook หรือเก็บไว้คนเดียว มีจุดเริ่มต้นสำคัญที่ท่านจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากที่สุดคือ ขณะที่เปลี่ยนเลขนำหน้าของอายุจาก 29 เป็น 30 หรือ 39 เป็น 40 มีสถิติบันทึกไว้ว่าคนอายุ 39 ออกมาวิ่งมาราธอนมากที่สุด เพราะรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง และกำลังก้าวเข้าสู่ตัวเลขใหม่ซึ่งมีอิทธิพลมาก New Year Resolution ของคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ คือ ลดน้ำหนัก กินอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกาย การเก็บเงินจะเป็นข้อที่ตามมา

หลักการ Gold Pyramid สามารถนำมาใช้กับบริษัท องค์กร หรือประเทศก็ได้ ยกตัวอย่างผมบอกว่า ธนาคาร ก. ตั้งเป้าไว้ว่าต้องการเป็นธนาคารอันดับหนึ่งของเอเชีย ซึ่งเป้าประเภทนี้เรียกว่า "Dream" ซึ่งอาจใช้เวลา 100 ปีเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ต้องมีเป้าหมายของแต่ละปี เช่น ปีนี้ target growth 15% เป้าหมายรายเดือน เช่น ทำ application, program ใหม่ เป็นต้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จะไม่มีความหมายเลยถ้าคนในองค์กรไม่รู้ว่าวันนี้ต้องทำอะไร ดังนั้นทุกองค์กรจึงทุ่มเงินมหาศาล ทรัพยากรมากมาย เพื่อหา Highlight of the Day โดยเฉพาะปัจจุบันมีการทำงานแบบ Agile ที่เน้นการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เมื่อเข้าใจ Agile ทำให้เข้าใจ Highlight of the Day เมื่อรู้ว่าต้องทำอะไรที่สำคัญที่สุดในวันนี้ ทำให้เกิดความสำเร็จภายในสัปดาห์ ภายในเดือน ภายในปีนั้น ๆ และไปถึง "Dream"
มนุษย์ในหนึ่งวันมีงานทำ 10 งาน แต่จะมีงาน 2 งาน ที่มีความสำคัญ 90% ของงานทั้งหมด ถ้ารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดจะทำให้เสร็จ เช่น วันหนึ่งผมมี 20 งาน งานสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จมี 2 งาน ถ้า 2 งานนี้ไม่เสร็จที่เหลือ 18 งานไม่มีประโยชน์เพราะเป็นงานที่ไม่สำคัญ งาน 2 งานข้างต้นสำคัญที่สุดต้องสำเร็จก่อน เพราะเวลาเช้าสมองปลอดโปร่งควรทำงานที่ยากก่อนและงานสำคัญก็มักจะยาก นี่คือเหตุผลที่ต้องเข้าใจ Highlight of the Day สำคัญต้องทำและเป็นสิ่งที่องค์กรต้องการ ถ้าองค์กรมีการวางแผนและการทำงานที่ดี เป้าหมายรายปีจะสำเร็จ ส่งผลให้ "Dream" สำเร็จตามที่องค์กรตั้งไว้
ทุกท่านมีความฝัน เช่น ฐานะมั่นคง สุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นต้น Resolution ของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน เช่น อยากรูปร่างเพรียว มีกล้ามเนื้อ เป็นความฝันระดับ "Dream" ต้องมีเป้าหมายระดับปี คนส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายระดับปีคือ New Year Resolution เพื่อนผมเปิด fitness กล่าวว่า เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีผู้เข้าใช้ fitness จำนวนมาก หลังจากนั้นจะน้อยลงและหายไปและเป็นเหมือนกันทุกปี เพราะทุกคนตั้งเป้าหมายระดับปีแล้วจบ คือเริ่มต้น New Year Resolution ใน Instagram (IG) ในวันที่ 30 หรือ 31 ธันวาคม เดือนมกราคมไปฟิตเนสทั้งเดือน วันละ 2 ครั้ง ลงรูปขณะไปฟิตเนส ใน IG ผู้ที่ติดตาม IG ก็จะพบความตั้งใจและมุ่งมั่นการลดน้ำหนัก เดือนมีนาคมมี auditor มาตรวจสอบปิดงบไตรมาสแรก และ clear งานเพื่อหยุดเดือนเมษายน เดือนพฤษภาคมเข้าสู่ฤดูฝนก็ไม่อยากไปฟิตเนส จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งการแต่งงานมาพร้อมกับ theme การแต่งกาย นำชุดที่เข้ากับ theme มาลองสวมใส่ไม่ได้ ทำให้ต้องเริ่มวงจร New Year Resolution ใหม่ เพราะไม่ทราบ Highlight of the Day ในการลดน้ำหนัก เช่น วันนี้ทานอะไรได้ ต้องฟิตเนสวันละกี่ชั่วโมง ออกกำลังอยู่ 1/3 ของตารางหรือไม่ เป็นต้น การวางแผน Highlight of the Day และทำเป็นขั้นต่อไปเรื่อย ๆ คือ สิ่งที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เขียนจากชีวิตจริงของผม เพราะฉะนั้นขอเล่าว่า 3 ปีที่แล้วเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก เพราะอ้วนมาก และผลประกอบการของบริษัทก็แย่มาก คือเครียด กินเบียร์ ไก่ทอด เป็นประจำ ไม่ออกกำลังกาย กระทั่งต้องไปงานแต่งงานมี theme งานสีเขียว นำเสื้อสีเขียวที่ไม่ได้ใส่มานานเป็นตัวเดียวในตู้มาลองใส่ ปรากฏว่าพอติดกระดุม ๆ หลุดออกไป ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะเป้าหมายในชีวิตก็จะวนเวียนอย่างนี้ ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ขณะนั้นนิ้วกลมกำลังจะออกหนังสือ "Homo Finishers : สายพันธุ์เข้าเส้นชัย" เป็นหนังสือเกี่ยวกับการวิ่ง ผมไม่เคยออกกำลังกาย อ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่หลังจากที่กระดุมเสื้อหลุดคิดว่าจะลองวิ่ง ตั้งใจว่าใช้เวลา 1 เดือนทำ 2 สิ่ง คือ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และตื่นเช้าไปวิ่ง เริ่มต้นวันที่ 1 มีนาคม 2561 วิ่งได้ 3 กิโลเมตร เกือบตายเพราะเหนื่อยมาก ท่านที่เคยวิ่งวันแรก ๆ พอทราบเหนื่อยมาก แต่สัญญากับตัวเองไว้แล้ว วันรุ่งขึ้นก็วิ่งและวิ่งทั้งเดือน จนกระทั่งเดือนเมษายนพาครอบครัวไปเที่ยวเกียวโต ที่พักใกล้กับสวนญี่ปุ่นซึ่งเป็นสวนเล็ก ๆ จึงออกมาวิ่งที่สวนทุกเช้า ขณะนั้นวิ่งได้ประมาณ 10 กิโลเมตร วันที่ 11 เมษายน 2561 เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล เพราะขณะวิ่งรู้สึกว่าอากาศดีมาก เวลา 9.00 น. ไม่มีแดด นึกภาพสวนเป็นทางที่ผู้คนเดินทางไปสถานีรถไฟที่อยู่ด้านข้าง คิดว่าลองวิ่งมากกว่าที่เคยวิ่ง และนึกถึงหนังสือของนิ้วกลมว่าวิ่งมาราธอนเป็นอย่างไร ซึ่งไม่มีความรู้ search google วิ่งมาราธอนระยะ 42.5 กิโลเมตร ก่อน search วิ่งได้ 12 กิโลเมตร เหลืออีก 30 กิโลเมตร แต่พิจารณาดูจากสถานที่อันดับแรก 1 รอบไม่ถึง 1 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นจะวิ่งวนอยู่ซึ่งไม่มีใครในสวน แต่จะมีคุณลุงยืนอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างจะปรบมือให้ทุกรอบที่วิ่งผ่านมา มีตู้กดน้ำ มีเหรียญในกระเป๋า และคิดว่าถ้าเป็นอะไรจะมีคุณลุงคอยช่วยเหลือ ตัดสินใจลองวิ่ง วิ่งไปเรื่อย ๆ ในที่สุดวิ่งครบแต่ก็เกือบตาย เป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรกและไม่แข่งกับใคร เสร็จแล้ว post ใน Facdbook มีผู้ comment เข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นข้อความCongratulations แต่ก็มี comment ที่เตือนว่าการวิ่งแบบนี้เป็นอันตราย จึงได้ search พบว่าการวิ่งมาราธอนต้องมีการเตรียมตัวให้ดี ต้องมีการซ้อมวิ่งเพื่อให้ร่างกายพร้อมเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น และที่ผมทำจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ที่น่าสนใจคือ ถ้าไปอ่าน comment ก่อนวิ่ง ผมจะวิ่งไม่จบเพราะใจไม่สู้

Cliff Young อายุ 61 ปี เป็นเกษตรกร เป็นบุคคลประวัติศาสตร์วงการวิ่ง มีอาชีพเลี้ยงแกะและปลูกมันฝรั่งที่ออสเตรเลีย เมื่อเป็นเด็กถูกบังคับให้ต้องวิ่งต้อนฝูงแกะทั้งฝูงในไร่ด้วยเท้าเพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจตกต่ำครอบครัวยากจนจึงไม่มีเงินซื้อม้ามาขี่สำหรับต้อนฝูงแกะ ต่อมาได้สมัครวิ่ง ultra มาราธอน ระยะทางในการวิ่งแข่งขันทั้งหมด 875 กิโลเมตรจากซิดนีย์ไปเมลเบิร์น การแข่งขันรายการนี้จึงมีแต่นักวิ่งระดับสุดยอดของโลกที่ลงแข่ง Cliff Young เป็นนักวิ่งอายุมากที่สุด ไปคนเดียวใส่รองเท้าบู๊ตยาว นักกีฬาคนอื่นที่เข้าแข่งมีการเตรียมตัวอย่างดี มีโค้ช แพทย์ นักวิทยาศาสตร์การกีฬาคอยติดตาม เมื่อปล่อยตัวนักวิ่ง Cliff Young วิ่งรั้งท้าย รถพยาบาลที่ตามขอให้หยุดวิ่งเพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่ Cliff Young ก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ที่น่าสนใจในการแข่งครั้งนี้คือระยะทางไกลมาก ไม่สามารถวิ่งจบภายในหนึ่งวัน โค้ชของนักวิ่งจะต้องวางแผนจะให้นักวิ่งวิ่งกี่ชั่วโมงต่อวัน แต่ Cliff Young ไม่มีโค้ช ไม่ได้อ่านใบสมัครทำให้ไม่ทราบว่าการแข่งวิ่งครั้งนี้พักได้ Cliff Young วิ่งแทบไม่ได้นอน แอบไปหลับใต้ต้นไม้ 1 ชั่วโมงเพราะกลัวผิดกติกาและถูกไล่ออกจากการแข่งขัน ตลอดการแข่งขัน Cliff Young แทบไม่เห็นผู้เข้าแข่งรายอื่น ช่วงแรกที่วิ่ง Cliff Young วิ่งรั้งท้าย แต่พอมาช่วงหลังวิ่งนำผู้แข่งขันรายอื่นโดยเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ใช้เวลาการวิ่ง 5 วัน 15 ชั่วโมง 4 นาที ชนะผู้แข่งขันที่เข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่สอง 12 ชั่วโมง เพราะตอนที่ Cliff Young เลี้ยงแกะบางครั้งต้อนแกะข้ามคืนโดยไม่ได้นอนเพราะฉะนั้นการไม่นอนเป็นเรื่องธรรมดา ประเด็นคือถ้า Cliff Young ทราบว่าการแข่งครั้งนี้ให้พักได้อาจจะไม่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก คิดว่าไม่ชนะแน่ ๆ เป็นเรื่องที่สอนผมหลายอย่างมาก หลายครั้งเวลาจะเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ จะนึกถึง Cliff Young เสมอ ๆ เพราะการรู้อะไรมากเกินไปทำให้เราไม่กล้าที่จะเริ่มทำ
นักคณิตศาสตร์ จอร์จ แดนท์ซิก(George Dantzig) ขณะศึกษาปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเบริกลีย์ เช้าวันหนึ่งเข้าเรียนวิชาของ ดร.เนย์แมน สายเมื่อเข้าไปในห้องพบโจทย์คณิตศาสตร์ 2 ข้ออยู่บนกระดาน ทำให้เข้าใจว่าอาจารย์สั่งการบ้าน จึงรีบจดใส่สมุด และนำกลับไปทำที่บ้าน ขณะที่แก้ไขโจทย์คณิตศาสตร์นั้นก็คิดว่าทำไมโจทย์นี้ยากมากแต่ก็สามารถทำจนสำเร็จ และนำมาส่งอาจารย์ตกใจมากเพราะโจทย์ทั้ง 2 ข้อไม่ใช่การบ้าน แต่เป็นโจทย์คณิตศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครแก้ได้และนักคณิตศาสตร์ทั่วโลกไม่มีใครแก้โจทย์นี้ได้ จนกระทั่ง จอร์จ แดนท์ซิก แก้ได้ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่มากในขณะนั้นเป็นที่มาของทฤษฎีใหม่ทางด้านคณิตศาสตร์ ประเด็นคือหลังจากที่ถูกสัมภาษณ์ จอร์จ แดนท์ซิก กล่าวว่า "ถ้าวันนั้นเขารู้ว่า ขนาดนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังแก้สมการไม่ได้ เขาก็คงไม่เริ่มทำมันเช่นกัน" เพราะถ้าเขารู้อย่างนั้น เขาคงจะตีกรอบความคิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้ และคงไม่สามารถแก้โจทย์ยากนี้สำเร็จนี่คือสิ่งมหัศจรรย์มาก ความคิดเป็นตัวกำหนดว่าเราอยากได้อะไร ความคิดจะนำเราไป ความจริงข้อหนึ่งของมนุษย์คือเมื่อเริ่มทำอะไรครั้งแรกจะยาก เช่น การเข็นรถจะยากมากตอนเริ่มต้นเข็นรถจะหนักมาก เมื่อเข็นได้ แค่นิ้วแตะรถก็จะเลื่อน ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติของทุกอย่างบนโลกใบนี้เหมือนกันหมด

มีคำถามว่า สิ่งที่อยากทำตลอดชีวิตทำไมถึงยังไม่เริ่มทำ เป็นคำถามพื้น ๆ มาก เมื่อมีความฝันต้องเริ่มก่อนว่าวันนี้จะทำอะไร ขณะที่ทำ Super Productive โชว์ คิดอยู่นานว่าอยากได้อะไร และอะไรที่ไม่เคยทำ คุยกับ producer ว่าสมัยอายุ 18 ปีอยากมี six pack มากและอยากมีมาทุกปี แต่ไม่เคยทำเพราะมีข้ออ้างไปเรื่อย ๆ และมีเวลาเพียง 30 วันลองทำดีหรือไม่ ทาง producer บอกว่า 30 วันจะทำได้หรือ ผมบอกว่าประเด็นคือไม่ทันหรอก แต่ไม่จำเป็นว่าจะทันหรือไม่ทัน แค่อยากบอกว่ากระบวนการเป็นอย่างไร สำคัญที่ process เข้าไปคุยกับโค้ชว่าจะทำอย่างไร ลองทำ thirty day challenge โค้ชบอกว่าถ้าพี่ทราบว่าทุกวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ทำตามนั้น 30 วันจะเห็นผล อาจจะไม่ได้ six pack แต่จะเห็นผลและเห็นกระบวนการว่าถ้าอยากได้อะไรจริง ๆ ต้องทราบว่า ณ เวลานี้ต้องทำอะไร ฟังดูง่าย ๆ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ และมักใช้คำว่ายอม เลือกความสบายแทนที่จะเก็บพลังเพื่อเอาไว้เป็นเป้าหมายภายหลัง การเก็บเงินก็คล้าย ๆ กัน จึงเป็นที่มาของ thirty day challenge และเป็น 30 วันที่พิสูจน์ทฤษฎี Gold Pyramid ว่าในทางปฏิบัติทำได้จริง ทุกอย่างเกิดจาก mindset ของเรา การวิ่งมาราธอน และการทำ thirty day challenge ทำเพื่ออะไรต้องทราบ ถ้าไม่ทราบทำไม่ได้
มีช่วงหนึ่งได้ทำ survey ใน page mission to the moon เพราะอยากทราบว่าเวลาคนทำเรื่องใหม่ ๆ ทำไมถึงทำไม่ได้ กลายเป็นว่าส่วนใหญ่ 50% ตอบว่ามาจาก mindset เหมือนที่โค้ชได้พูดว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย แต่ขึ้นอยู่กับ mindset ของเราว่าถูกต้องหรือไม่จึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถ้าเข้าใจว่าต้องทำเรื่องนี้เพราะอะไร mindset จะหาวิธีทำให้ ซึ่งเป็นธรรมชาติ บางท่านถามว่า productivity คือการทำงานให้มาก ๆ ใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ เพราะไม่เกี่ยวกับการทำงาน ทุกท่านมีเวลาทำงาน 24 ชั่วโมง ทำงานได้มากที่สุด 12 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น productive ไม่ใช่เวลาทำงาน แต่คือท่านทำอะไรและ value ที่ได้คืออะไร การทำงาน productive คือคุณค่า
หนังสือ Super Productive คำว่า "super" เป็นตัวอักษรย่อของแต่ละเรื่องที่มีความหมาย อักษร "S" มาจากคำว่า "Start with why" หมายถึง เวลาจะทำอะไรถ้าไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไรจะทำไม่ได้เพราะจะหมดแรงก่อน แต่เมื่อรู้เป้าหมายว่าทำเพื่ออะไรจะทำได้ "start with why" เป็นคำพูดของ Simon Sinek นักเขียน และ Ted Talk กล่าวว่า องค์กรที่อยู่อย่างเข้มแข็ง เพราะรู้ว่าองค์กรทำเพื่ออะไร เช่น "start with why" ของ "Apple" why ของ สตีฟ จ๊อบส์ อยากสนับสนุนให้ทุกคนในองค์กรเป็น creative และสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมาจนเป็นผลิตภัณฑ์ Apple ส่วน why ของทุกองค์กรมีเหมือนกัน แต่ละองค์กรก็จะมีวิธีคิดที่ต่างกัน องค์กรที่ประสบความสำเร็จจะมี why ที่แข็งแรง เช่น Nike Apple ทุกท่านก็ why เหมือนกัน ท่านที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ จะมี why ที่แข็งแรง เช่น Charlie Jabaley สมัยเด็กมีความฝันอยากเป็นนักกีฬาที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nike เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้า และติด junk food จนน้ำหนักตัว 160 กิโลกรัม และพบโรคเนื้องอกในสมอง ทำให้ไม่อยากมีชีวิตต่อไป แต่มีกำลังใจดีเริ่มออกมาวิ่งและวิ่งไปเรื่อย ๆ จนน้ำหนักลง และในที่สุดวิ่งฟลูมาราธอน หลังจากที่ Charlie Jabaley ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองน้ำหนักลดลง 80 กิโลกรัม ที่น่าอัศจรรย์ คือ โรคเนื้องอกในสมองหายไปโดยไม่ต้องรักษาเนื่องจากการออกกำลังกาย และในที่สุดก็เป็น presenter โฆษณาของ Nike ตามฝัน ซึ่งเป็นโฆษณาชิ้นสำคัญที่สุดของ Nike ชื่อว่า Dream Crazy เป็นโฆษณาที่ฉลองครั้งที่ Just Do It ครบรอบ 30 ปี (ปี 2018) เป็นโฆษณาของ Nike ชิ้นที่มีผู้กล่าวถึงมากที่สุด และ Charlie Jabaley อยู่ในซีนที่สำคัญของโฆษณา Charlie Jabaley มี why ที่ชัดเจน ทุกท่านมี why ที่ชัดเจนหรือไม่ ถ้ารู้ว่าทำเพราะอะไร productivity จะเกิดขึ้น แม้ว่าเหนื่อยก็จะทำให้เสร็จ และไม่ต้องซับซ้อนมาก ทำเรื่องนี้ไปทำไม ทำแล้วอะไรจะตามมา เช่น อยากทำหนังสือ ออกหนังสือทำไม หรืออยากเขียนหนังสือทำไม สำหรับผมเขียนหนังสือเพราะอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ถ้าไม่เขียนไม่มีทางเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เพราะจะไม่อ่านหนังสือ คนที่เขียนหนังสือต้องเริ่มจากการอ่านหนังสือ ถ้าไม่อ่านต้องเป็นคนที่มีความรู้มาก นักเขียนทุกท่านเป็นนักอ่าน ผมทำ podcast ประมาณ 1,000 เรื่อง ทุกวัน ๆ ละ 2 เรื่องเพราะอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ไม่อยากเป็นคนตกยุค แล้วทำไปทำไม เพราะต้องการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ในชีวิต เมื่อเข้าใจว่าทำไปทำไม ทำให้ไปได้เร็วขึ้น ถ้าท่านค้นหา why ได้ชัดเจนจะทำให้ง่ายขึ้น

"U" มาจากคำว่า "Unhook" เป็นเรื่องที่ทุกท่านในปัจจุบันนี้ต้องตั้งใจฟังมาก โดยเฉพาะท่านที่อยู่กับมือถือมาก ๆ คำว่า productivity จะเกิดขึ้นขณะที่เรามีสภาวะ flow state คือ การทำงานที่ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร สมาธิมุ่งมั่นงานที่ทำ งานที่ออกมาในช่วงเวลานี้จะทำได้ใน 1 – 2 ชั่วโมงเท่านั้น เป็นงานที่มีคุณภาพสูงมาก ทุกอาชีพจะมี flow state ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองคำต้องใช้ให้ดีที่สุด flow state เป็นเวลากับสมาธิที่สัมพันธ์กัน แต่ปัจจุบัน flow state จะไม่ค่อยมีเพราะเวลาท่านทำงานจะมี Line, Twister หรือ Facebook แจ้งเตือนตลอดเวลา เมื่อสมาธิกับเวลาไม่สัมพันธ์กัน และการทำงานสลับไปมาทำให้งานที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะความคิดของงานไม่ต่อเนื่อง ปัจจุบันเครื่องมือดิจิทัลทุกชนิดทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น แต่ก็มาพร้อมความน่ากลัว ในหนึ่งวันใช้เวลานอน 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง เหลืออีก 8 ชั่วโมงซึ่งใช้เวลากับมือถือ 4 ชั่วโมง จะซ้อนกับเวลาทำงานบ้าง แต่ในกรณีที่ไม่ซ้อนคือ 4 ชั่วโมง แต่ในประเทศไทยจะใช้เวลาประมาณ 5.30 ชั่วโมง ผมคิดว่าผมใช้มือถือน้อยจนกระทั่งช่วงที่ทำโชว์เปิดดู screen time พบว่าใช้ 5 ชั่วโมงต่อวัน หลายท่านคงใช้มือถือมากและคงคิดเหมือนกันว่าใช้มือถือทำงานหรือไม่ เราทำงานต้องใช้มือถือเพราะการตอบ e-mail ใน screen time จะแจ้งทุกอย่างว่าใช้อะไรบ้าง ลองคิดถ้าใช้มือถือ 50 ปีเล่นวันละ 5 ชั่วโมง จะหมดเวลากับมือถือ 10 ปี 5 เดือน ซึ่งเวลานี้สามารถเดินทางไปดวงจันทร์ 633 รอบ ปีนเขาเอเวอเรสต์ได้ 63 รอบ วิ่งมาราธอนได้ 23,000 ครั้ง ผมลองลบ Facebook, Instagram, Chrome และ Twister ออกจากมือถือ สิ่งที่ได้คือ ผมเช็ค e-mail วันละครั้งคือบ่ายสามจนหมด และเช็ดใหม่วันพรุ่งนี้ ถ้าใครมีงานด่วนจะต้องโทร.มาเพราะผมไม่ดูแล้ว มีงานวิจัยว่าทำให้เช็ค mail ได้เร็วขึ้น 40% ทำให้ไม่ตกข่าวเพราะถ้ามีเรื่องใหญ่จะมีคนแจ้งให้ทราบ ผ่านไป 1 สัปดาห์เวลาหายไป 3 ชั่วโมง มนุษย์มักคิดว่าสามารถควบคุมตนเองได้ แต่ปัจจุบันจับมือถือวันละ 200 ครั้ง ไม่มีของชิ้นใดในโลกที่ท่านจับมากเท่ามือถือ เราควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ที่ทุกท่านควบคุมได้คือสิ่งแวดล้อมและออกแบบได้ ในกรณีของผมลบ App ออก คือ การควบคุมสิ่งแวดล้อม ส่วนท่านใดที่อยากลดน้ำหนักสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ใช่ความพยายามตั้งใจลดอย่างเดียว แต่คือตู้เย็นที่บ้านเพราะเป็นสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก การออกแบบสภาพแวดล้อมรอบตัวง่ายกว่าการใช้แรงใจเพียงอย่างเดียว

"P" มาจากคำว่า "Prioritize" การจัดลำดับความสำคัญของงานท่านคงรู้จัก "Eisenhower Matrix" ขอกล่าวถึงประวัติDwight Eisenhower อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยสงครามโลก เป็นผู้นำกองทัพสัมพันธมิตรบุกนอร์มังดี กล่าวว่า "อะไรที่สำคัญ เรามักจะไม่ทำแบบเร่งด่วน" แต่ในขณะเดียวกัน "อะไรที่ไม่ค่อยสำคัญ เรามักจะทำมันแบบเร่งด่วนแทน" ท่านที่อ่านหนังสือ How to จะคุ้นกับตารางนี้

ช่องแรกคือสำคัญและด่วน ช่องสองคือสำคัญและไม่ด่วน ช่องสามคือไม่สำคัญแต่ด่วน ช่องสี่ไม่สำคัญและไม่ด่วน ทุกท่านอาจสงสัยอะไรสำคัญและด่วน ทุกอย่างจะถูกจัดอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นประเภทเดียวกันสำหรับคนสองคน เรื่องบางเรื่องอาจสำคัญสำหรับท่าน แต่จะไม่สำคัญสำหรับท่านอื่น เช่น เรื่องที่สำคัญและด่วน วันนี้ไปตรวจร่างกาย แพทย์แจ้งคลอเรสเตอรอล ไตรกรีเซอร์ไลน์ ยูริค เกินค่ามาตรฐานไปสามเท่า ถ้าไม่แก้ไขในวันนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน การพบแพทย์วันนี้เป็นเรื่องสำคัญและด่วน สาเหตุเกิดจากไม่ทำเรื่องสำคัญและไม่ด่วน เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อน อาหาร สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทราบกันแต่ไม่ค่อยปฏิบัติ เพราะไปจัดการเรื่องไม่สำคัญแต่ด่วน เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย และอีกสาเหตุคือไม่สำคัญและไม่ด่วน สนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าและเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรา ความจริงคือถ้าไม่ทำงานสำคัญและไม่ด่วนในที่สุดก็จะกลายเป็นงานสำคัญและด่วน สองเรื่องนี้แตกต่างกันคือ ถ้าสำคัญและด่วนไม่มีทางหลีกเลี่ยงต้องทำ ถ้าในขณะที่สำคัญและไม่ด่วนยังมีเวลาจัดสรรว่าจะทำเมื่อไร แต่ถ้าไม่ทำจะกลายเป็นเรื่องด่วนคือต้องทำ เช่น พ่อแม่บางท่านสงสัยว่าทำคุยกับลูกวัยรุ่น (อายุ 15 ปี) ไม่ค่อยเข้าใจและไม่ฟัง ถ้าย้อนเวลากลับเมื่อลูกยังเล็กการอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอนเป็นเรื่องสำคัญและไม่ด่วน แต่เมื่อโตขึ้นและลูกมีปัญหาพ่อแม่ไม่สามารถสอนเพราะลูกไม่ฟังทำให้เป็นเรื่องสำคัญและด่วน ถ้าอยากให้ลูกวัยรุ่นฟังควรทำตั้งแต่ตอนยังเล็กคือการให้เวลาแก่ลูก หรือการอ่านนิทานให้ฟัง เพราะทำให้ลูกมีความไว้ใจเวลามีปัญหาก็กล้าที่จะเล่าให้ฟัง เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และพร้อมที่จะรับฟังพ่อแม่ เรื่องของสุขภาพ และระบบงานก็เช่นกัน ถ้าเป็นเรื่องสำคัญและไม่ด่วนถ้าไม่ทำจะกลายเป็นเรื่องสำคัญและด่วนแน่นอน ทำให้อิสรภาพหายไปไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำทันที แต่ก็จะมีอีกประเภทหนึ่งที่เลือกจะอยู่ในเรื่องสำคัญและด่วนตลอด เรียกว่า "นักดับเพลิง" มีชีวิตดูยุ่งไปทุกเรื่องจัดสรรเวลาไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัดส่วนของเวลาในแต่ละเรื่องกำหนดแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลของเรื่องนั้น ๆ

Harvard Business Review ทำการสำรวจ CEO บริษัทใหญ่ ๆ พบว่าเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารเวลา คือ Time Boxing คือนำงานต่าง ๆ ใส่ลงในปฏิทิน มีงานทั้งสิ้น 6 ชนิดคือ งานหลัก เวลาระดมสมอง งานพัฒนาตนเอง งานด่วน เวลาพัก และงานเบ็ดเตล็ด งานทั้งหมดนี้ของแต่ละท่านก็จะมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน และนำงานทั้งหมดลงในปฏิทิน ดังนี้ ลงวันหยุดเพราะไม่สามารถลาหยุดพร้อมกันได้, งานพัฒนาตนเอง เป็นงานที่ถูกข้ามมากที่สุดแต่ต้องทำให้ได้เพราะในระยะยาวจะส่งผลมาก (เรื่องสำคัญและไม่ด่วน),การทำงานร่วมกับคนอื่น (เวลาระดมสมอง) เพราะเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่นและไม่สามารถทำคนเดียว, งานเบ็ดเตล็ด จะลงช่วงบ่ายเพราะเหมาะกับการทำงานที่ value น้อย และงานด่วน สิ่งที่สำคัญ แนะนำให้ทุกท่านในองค์กรทำ Time Boxing เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเวลาของผู้ร่วมงานได้ทั้งหมดและการจัดสรรทรัพยากรคุ้มกับการลงทุน

"E" มาจากคำว่า "Energize" สำคัญที่สุด มนุษย์เรามีช่วง prime time สั้นมาก USC (University of Southern California) ทำการสำรวจสมองของคนจะทำงานมีประสิทธิภาพดีที่สุดคือ 2 – 4 ชั่วโมงหลังตื่นนอน หลังจากนั้นประสิทธิภาพจะลดลง ฉะนั้นเวลาช่วงนี้ควรใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด แต่ต้องดู prime time ของคนอื่นด้วย เช่นการนัดผู้บริหารควรนัดเวลาเช้าและเป็นคนแรก จากแบบสำรวจคำตัดสินของผู้พิพากษา พบว่าคดีที่ตัดสินช่วงบ่ายโดยเฉพาะหลัง 15.00 น. โทษจะหนัก คดีที่ตัดสินช่วงเช้าโทษจะเบากว่า เช่นเดียวกับโรงพยาบาลเวลาความผิดพลาดมักจะเกิดช่วงบ่าย เพราะฉะนั้นการประชุมเรื่องสำคัญกับผู้บริหารควรเป็นเวลาเช้า เวลา prime time ใช้ให้มีค่ามากที่สุด

"R" มาจากคำว่า "Rest" เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของ productivity ของร่างกาย เพราะร่างกายไม่ใช่เครื่องจักรต้องเข้าใจ เผ่าพันธุ์มนุษย์พัฒนามาจากการอยู่ในถ้ำ มีอยู่ 3 อย่างคือ 1. Eat คือ อย่ารับประทานอาหารที่มนุษย์ถ้ำไม่รู้จัก 2. Move คือ การขยับตัวมนุษย์เริ่มตั้งแต่กำเนิดของ species แรก เพราะถ้าไม่ขยับก็ไม่สามารถล่าสัตว์ หรือเป็นอาหารของสัตว์ได้ ทุกวันนี้มนุษย์มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมายทำให้ไม่ค่อยเคลื่อนไหว 3. Sleep คือ การนอนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะการนอนทำให้อารมณ์และสุขภาพดีส่งผลต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกท่านทำคือไม่นำโทรศัพท์มือถือไว้ในห้องนอน เพราะมนุษย์ถ้ำไม่จุดไฟขณะนอน

คำนำในหนังสือ "คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย" คือ ระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์ 384,000 กิโลเมตร แต่กระสวยอวกาศใช้เชื้อเพลิงครึ่งหนึ่งเพื่อให้ผ่าน 10 กิโลเมตรแรก และอีกสามแสนกว่าใช้เชื้อเพลิงที่เหลือ ความหมายคือ การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ จะต้องใช้ความพยายามมาก แต่เมื่อผ่านช่วงแรกไปได้ที่เหลือจะง่าย และเป็นเกือบทุกเรื่องในชีวิต เช่น การวิ่งกิโลเมตรที่ 1 ของคุณอาจเป็นพรุ่งนี้ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องเริ่มทำ ถ้าไม่เริ่มทำสิ่งที่คุณอยากได้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น