กิจกรรม

บันทึก Book Talk : เราทำงานแล้วได้อะไร : Pay Off

วันที่จัดงาน
4 ต.ค. 2020
สถานที่จัดงาน
ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย

บันทึก Book Talk : เราทำงานแล้วได้อะไร : Pay Off

สรุปกิจกรรม Book Talk โดย คุณสฤณี อาชวานันทกุล

5 ตุลาคม 2563 ณ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     ผู้เขียนหนังสือ อ. Dan Ariely เป็นนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่ได้รับความนิยม เป็นบุคคลโด่งดังมากในระดับต้น ๆ ของโลก เป็นอาจารย์ด้านจิตวิทยา สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University) ได้ทำการทดลองอย่างต่อเนื่อง เป็นชาวอิสราเอล เชื้อสายอเมริกัน เขียนหนังสือน่าอ่านหลายเล่ม ส่วนใหญ่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย อีกเล่มที่น่าสนใจนอกจาก Pay Off  คือ Predictably Irrational คำว่า Irrationality หรือ ความไร้เหตุผล ให้ความรู้สึกว่าเศรษฐศาสตร์จัดการอะไรกับความไร้เหตุผลไม่ได้ เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ชื่อหนังสือมีคำว่า Predictably พยากรณ์ได้ คาดเดาได้ จึงกลายเป็นว่า ชื่อหนังสือเป็นคำตอบส่วนหนึ่งว่า ทำไมวันนี้เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่หลายท่านกล่าวถึง กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ คือ ความไร้เหตุผลของมนุษย์สามารถคาดเดาได้ รวบรวม สกัดข้อมูล สร้างโมเดล และมีนัยเชิงนโยบายต่าง ๆ

     Pay Off แปลเป็นไทยว่า เราทำงานแล้วได้อะไร อ. Ariely กล่าวว่าแรงจูงใจการทำงานมีได้หลากหลาย สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ  1) แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) เช่น เงิน สวัสดิการ 2) แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) เช่น การใช้องค์ความรู้ที่เรียนมาในการทำงานให้องค์กร ที่มีแนวโน้มที่จะสร้าง meaning ให้งานที่ทำ ประวัติเส้นทางชีวิต อ. Ariely ก่อนที่จะมาเป็นนักจิตวิทยา นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จุดเริ่มต้นเกิดจากความบังเอิญในชีวิต เมื่ออายุ 17 ปี ประสบอุบัติเหตุบนถนน เกิดระเบิดถูกไฟคลอก 70 % ของร่างกาย อาการค่อนข้างสาหัส รักษาตัวในโรงพยาบาลนาน  2 – 3 ปี ขณะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้เป็นคนช่างสังเกตเรื่องพฤติกรรมการทำงาน สิ่งที่ อ. Ariely สังเกตเห็นเมื่อเวลาที่พยาบาลมาเปลี่ยนผ้าพันแผลออกจากตัวจะรีบ ๆ เปลี่ยนทำให้เจ็บปวดมาก พยายามบอกพยาบาลให้ทำช้า ๆ แต่พยาบาลบอกว่าแบบนี้ดีกว่าจะได้จบเร็ว ๆ ซึ่งพยาบาลบอกว่าคิดถึงคนไข้ถ้าทำช้า ๆ จะใช้เวลานานขึ้น คนไข้ก็เจ็บนานขึ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของการค้นพบ คือ จริง ๆ แล้วมนุษย์ถ้าให้เลือกระหว่างความทรมานที่ใช้เวลานาน แต่เป็นความทรมานที่พอรับได้ เทียบกับการทรมานแบบเจ็บปวดสาหัสแต่ใช้เวลาน้อย จะเลือกอะไร อ. Ariely กล่าวว่าในความเป็นจริงสมองของมนุษย์จดจำ Episode ที่ทรมานมาก ๆ ได้นานกว่า เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงการเจ็บปวดแบบสาหัสจะจดจำได้มากกว่าและทนได้ดีกว่า ตัวอย่างเล็ก ๆ นี้เชื่อมโยงให้เห็นว่าประวัติ อ. Ariely น่าสนใจ และเป็นจุดเริ่มต้นให้มาทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและแรงจูงใจของมนุษย์ Pay Off  เป็นเรื่องของแรงจูงใจในการทำงาน 3 เหตุผลหลัก ๆในหนังสือที่ประมวลจากงานวิจัย คือ

     Meaning งานที่มีความหมาย แรงจูงใจของคนทำงานมีหลากหลาย ปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ยังประกอบไปด้วยเรื่องความรู้สึกได้ทำงานที่มีคุณค่า มีความภูมิใจในตนเอง หรืองานอยู่ใกล้บ้าน แรงจูงใจมีได้หลากหลายมาก แต่เวลาที่มนุษย์ตัดสินใจ มักจะให้น้ำหนักกับแรงจูงใจภายนอก เช่น เงินเดือน สวัสดิการ ความมั่นคง แต่เมื่อทำงานจริง ๆ แล้วมักให้น้ำหนักกับเรื่องภายใน เช่น คุณค่า ความหมายของงานที่ทำมนุษย์มีแนวโน้มที่จะ overestimate ประเมินประโยชน์จาก external intensive สูงเกินจริง ตัวอย่างงานวิจัยคือ แบ่งคนเป็น 2 กลุ่มให้ต่อ Lego กลุ่มแรกจ้างให้ต่อ ตัวแรกได้ 3 เหรียญ ตัวต่อ ๆ ไปได้เงินลดลงตัวละ 30 เซ็นต์ กลุ่มสองเมื่อต่อเสร็จจะทำลาย Lego ต่อหน้าผู้ต่อ แล้วถามผู้ต่อว่าต่อใหม่หรือไม่ และสังเกตว่าจะหยุดต่อ Lego เมื่อต่อได้กี่ตัว เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มแรกเฉลี่ยต่อประมาณ 11 ตัว กลุ่มที่สองเฉลี่ยต่อประมาณ 7 ตัว อธิบายได้ว่ามนุษย์เมื่อได้รับมอบหมายงานเฉพาะกิจเมื่อทำงานเสร็จและถูกทำลายต่อหน้า ส่งผลต่อแรงจูงใจการทำงาน อีกการทดลองคือ การให้จับคู่คำบนหน้ากระดาษ ให้จับคู่อักษรที่อยู่ใกล้กัน คือแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกยื่นกระดาษให้วง+ตรวจงาน+ให้เงิน(จำนวนเงินค่อย ๆ ลดลง) กลุ่มสองยื่นกระดาษให้วง+ไม่ตรวจงาน+วางลง กลุ่มสามให้วง+ไม่ตรวจงาน+ใส่เครื่องย่อยกระดาษ ความแตกต่างระหว่างกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสามชัดเจน คือกลุ่มหนึ่งยินดีทำงานมากกว่ากลุ่มสาม ประเด็นน่าสนใจคือกลุ่มสองมีแนวโน้มที่จะเหมือนกลุ่มสาม เพราะการไม่สนใจส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงาน "Meaning" ในความหมายของ อ. Ariely คือ การทำงานที่ได้รับ acknowledge ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องทำงานที่มีคุณค่าต่อโลกหรือสังคม อีกตัวอย่างเช่น วิศวกรด้าน software บริษัทใหญ่ มี project ซึ่งใช้เวลาทำ 1 ปี เมื่อนำเสนอผู้บริหาร project ดังกล่าวถูกยกเลิก ส่งผลต่อแรงจูงใจ หลังจากนั้นมีวิศวกรหลายคนที่ลาออก ซึ่งความหมายและคุณค่าของงานที่ทำเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าที่คิด

     Effort ความพยายาม เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการทำงาน ตัวอย่างเช่น ikea effect การซื้อเฟอร์นิเจอร์มาต่อเองทำให้เกิดความภูมิใจและรู้สึกดี จะพบว่าบทบาทของความพยายามเป็นปัจจัยที่สำคัญ อีกตัวอย่างคือ บริษัท cake ของสหรัฐอเมริกา ในยุคหลังสงครามโลกและเป็นยุคบริโภคนิยม ได้คิดค้นสูตร cake สำเร็จรูปวางจำหน่ายมีขั้นตอนการทำง่าย ๆ  เพียงเติมน้ำใส่เตาอบตามเวลาที่กำหนดก็รับประทานได้ ปรากฎยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า เพราะไม่เป็นผลงานของแม่บ้าน ซึ่งเชื่อมโยงกับ expectation และบทบาททางสังคม ปกติแม่บ้านเมื่อทำ cake เลี้ยงแขกต้องนำวัตถุดิบมาผสมเป็นการแสดงฝีมือ อ. Ariely กล่าวว่าใน case ดังกล่าวดูเป็นการขัดแย้งกับหลักเศรษฐศาสตร์ บริษัทจึงเปลี่ยนวิธีทำให้ยากขึ้น ทำให้ cake ขายดีขึ้น ซึ่งเป็นบทบาทของ effort ทำให้โยงเข้ากับประเด็นแรกคือ ถ้ามนุษย์ไม่รู้สึกว่างานที่ทำมีเป้าหมายหรือมีคุณค่าตั้งแต่ต้น การจะมาให้ใส่ความพยายามจะได้ผลที่ตรงข้ามได้ เชื่อมโยงในเรื่องของความมีอิสระ การเปิดพื้นที่ให้พนักงานใช้ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งสำคัญ บริษัทที่ได้รับรางวัลว่าเป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด ส่วนใหญ่จะเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้ทำอะไร ๆ ได้ เช่น การตกแต่งห้องทำงานส่วนตัว ทำให้พนักงานรู้สึกได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เป็นผลทำให้ effort เข้ามา

     Extrinsic Motivation ที่เห็นชัดเจน คือ เรื่องบทบาทของเงิน มนุษย์ทำงาน เงินสำคัญที่สุดจริงหรือไม่ อ. Ariely กล่าวว่า เงินอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญ ประเด็นคือการจะรู้น้ำหนักของปัจจัยอื่น ๆ เป็นคำถามที่ตอบยาก อ. Ariely ได้ลองเขียนสมการ ความสุขในการทำงาน = เงิน + ความภูมิใจในตนเอง + meaning + ความภูมิใจด้านต่าง ๆ แต่จะอธิบายน้ำหนักของตัวแปลเหล่านี้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่ายไม่สามารถคิดวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ได้พยายามทำเพื่อตอบคำถามเรื่องของบทบาท หรือ function ของเงินเมื่อเทียบกับแรงจูงใจอื่น ๆ มานานมาก แต่ไม่มีบริษัทใดให้ไปทำการทดลอง ได้มีโอกาสทำการทดลองที่บริษัท Intel ประเทศอิสราเอล ซึ่งผู้บริหารสนใจเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม แรงจูงใจ และกำลังจะ launch program ใหม่ ๆ ในการสร้างแรงจูงใจของพนักงาน ทำการทดลองกับพนักงาน routine ประกอบ chip แบ่งพนักงานออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบ chip เกินเป้าหมายได้รับโบนัสเป็นเงินสด กลุ่มที่สองประกอบ chip ตามจำนวนที่ตั้งไว้ให้โบนัสเป็นคำชม กลุ่มที่สามประกอบ chip ตามจำนวนที่ตั้งไว้ให้โบนัสคือคูปองพิซซ่า จากการทดลองปรากฏว่า function โบนัส คนงานมีแรงจูงใจทำงานได้ดีขึ้นในวันแรก ๆ หลังจากนั้นผลงานของกลุ่มได้โบนัสลดลง แต่ผลงานของกลุ่มได้คำชมกับคูปองพิซซ่ากลับส่งผลต่อเนื่อง เมื่อจบช่วงเวลาทดลองดูผลงานของทั้ง 3 กลุ่ม ปรากฏว่ากลุ่มได้รับโบนัสได้ผลงานลำดับสุดท้าย เพราะวันแรก ๆ กลุ่มโบนัสมีแรงจูงใจจึงเร่งผลิตหลังจากนั้นผลงานน้อยลง ขณะที่กลุ่มได้รับคำชมกับคูปองพิซซ่ายั่งยืนกว่า เพราะการได้เป็นเงินสดเหมือนเป็นมาตรฐานคือทำตามเป้าหมายอย่างไรก็ได้โบนัสไม่มีแรงจูงใจเพิ่ม ทำตามที่บริษัทคาดหวัง ขณะที่กลุ่มได้รับคำชมเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน มาจากผู้บริหารที่ให้คุณค่ากับพนักงานที่ทำงาน routine เป็นสิ่งพิเศษสำหรับพนักงาน ผลของกลุ่มคูปองพิซซ่าไม่แตกต่างจากกลุ่มคำชม แต่ตั้งข้อสังเกตว่าถ้าเปลี่ยนจากคูปองพิซซ่าเป็นให้ผู้บริหารนำพิซซ่าจากเตาร้อน ๆ มาให้พนักงาน ผลการทดลองจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่มีโอกาสทดลองสถานการณ์นี้

     ผลของโบนัสเมื่อเทียบ motivation ที่ไม่ใช่เงินต่างกัน อ. Ariely อยากทำการทดลองกับผู้บริหาร เทียบโบนัสเงินสดกับอย่างอื่น ผู้บริหารบริษัทไม่ยินยอมให้ทดลอง การทดลองทำให้เห็นความสำคัญบทบาทของ motivation ที่ไม่ใช่เงิน บางกรณีมีความสำคัญไม่แพ้เงิน หรืออาจจะมากกว่าด้วย และ motivation ที่เป็นเงินบางครั้งอาจจะไม่ได้ตามที่ต้องการก็ได้

     เนื้อหาหนังสือบางส่วนแปลงมาจาก Ted Talk ที่ อ. Ariely ได้กล่าว และพยายามมองไปข้างหน้า ในการวิจัยค้นพบทั้ง 3 ข้อ คือ meaning บทบาทของคุณค่าหรือความหมายในการทำงาน, effort ความพยายามมีบทบาทอย่างไรในแรงจูงใจ,  Extrinsic Motivation ในเรื่องเงินซึ่งอาจจะไม่มีผลเหมือนที่คิด และอาจต้องให้ความสำคัญกับ Intrinsic อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงิน  เปรียบเทียบกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค อดัม สมิธ (Adam Smith) ที่เน้นประสิทธิภาพการทำงาน โดยการแบ่งการผลิตออกเป็นขั้น ๆ อดัม สมิธ กล่าวถึงโรงงานทำหมุด มีขั้นตอนทำงาน 12 ขั้นตอน พบว่า การแบ่งงานให้คนงานแต่ละคนทำคนละ 1 ขั้นตอน ทำงานได้มีประสิทธิภาพและผลิตได้มากขึ้นกว่าการให้คนงานหนึ่งคนทำ 12 ขั้นตอน ในยุคของอดัม สมิธ ค่อนข้างเห็นชัดในเรื่องการแบ่งงานเป็นขั้น ๆ ทำให้เป็นงาน routine มีบทบาทในการผลักดันอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้น ขั้วตรงข้ามแนวคิดของอดัม สมิธ คือ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) จะกล่าวถึง alienation of labour ความแปลกแยกระหว่างคนกับงาน การทำงานน่าเบื่อ routine ไร้คุณค่า ไร้ความหมายอย่างชัดเจน ทำให้คนรู้สึก suffer รู้สึกด้อยค่าในฐานะมนุษย์ สุดท้ายก็จะทนไม่ได้ อ. Ariely กล่าวว่าการปฏิบัติอุตสาหกรรมมาเป็นทุนนิยมชัดเจนว่า อดัม สมิธ มีอิทธิพลมากและทำให้อุตสาหกรรมเจริญ 2 - 3 ร้อยปี

     แต่ในวันนี้อาจจะต้องฟัง คาร์ล มาร์กซ์ มากกว่าเพราะปัจจุบันเป็นยุค knowledge economy เป็นยุคที่การพัฒนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมเพราะมีหุ่นยนต์มาทำแทน แต่เป็นการทำงานใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ การคิดวิเคราะห์มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ knowledge economy ประเด็นเรื่องของการแปลกแยกระหว่างคนกับงานก็จะมีความสำคัญมากขึ้น คือคนทำงานเชิงความรู้ (knowledge maker) ให้ความสำคัญกับคุณค่า ความหมาย ความภูมิใจในการทำงาน การได้รับการยอมรับ ความอิสระในการคิดและความคิดสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นการเน้นเรื่องประสิทธิภาพหรืองาน routine หรือการมองว่าอยากให้ทำงานมากขึ้นก็จูงใจด้วยเงิน  จะไม่ประสบผลสำเร็จอีกต่อไป จำเป็นต้องมองปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย

 

ลงทะเบียนรับข่าวสาร
ใส่อีเมลของคุณเพื่อรับข่าวสาร
ธปท. จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นของท่าน เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารของศูนย์การเรียนรู้ ธปท. อนึ่ง ท่านมีสิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของ ธปท. ข้าพเจ้าให้ความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวของข้าพเจ้าตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้